สำรวจประเด็นดีเบต 'ทรัมป์ - แฮร์ริส' ใครตอบโดนใจกว่ากัน?

รองประธานาธิบดีคามาลา แฮร์ริส และอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นเวทีโต้อภิปรายกันครั้งแรกที่ National Constitution Center นครฟิลาเดลเฟีย รัฐเพนวิลเวเนีย วันที่ 10 ก.ย. 2024

รองประธานาธิบดีคามาลา แฮร์ริส และอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นเวทีโต้อภิปรายกันครั้งแรกที่ National Constitution Center นครฟิลาเดลเฟีย รัฐเพนวิลเวเนีย เมื่อเวลา 21:00 น. ตามเวลาในสหรัฐฯ และถกเถียงกันในหลายประเด็นตั้งแต่เศรษฐกิจ สังคม ไปจนถึงสงครามในยูเครนและตะวันออกกลาง

โดนัลด์ ทรัมป์ และคามาลา แฮร์ริส ปรากฏตัวบนเวทีดีเบตในเวลาราว 21.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น ทั้งคู่จับมือทักทายกัน และเริ่มประเด็นการดีเบตด้วยเรื่องเศรษฐกิจและค่าครองชีพ

10 นาทีแรก ปะทะปมเศรษฐกิจ-ค่าครองชีพ

ประเด็นแรกที่ว่ากันด้วยเรื่องเศรษฐกิจ แฮร์ริสเป็นผู้เปิดไมค์ก่อน โดยเสนอแผนลดหย่อนภาษี 50,000 ดอลลาร์สำหรับผู้เริ่มธุรกิจรายย่อย และกล่าวหาทรัมป์มีส่วนให้เกิดการขาดดุลการค้าและเพิ่มค่าครองชีพของประชาชนจากกำแพงภาษีสินค้าจากต่างประเทศ

ด้านทรัมป์ปฏิเสธข้อพาดพิงและกล่าวว่านโยบายกำแพงภาษีกับจีน ที่ "เอาเปรียบพวกเรามาหลายปี" และกล่าวหารัฐบาลไบเดน-แฮร์ริส ทำให้เกิดปัญหาเศรษฐกิจ สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อ และลากไปถึงปัญหาการทะลักของผู้อพยพ

รองประธานาธิบดีคามาลา แฮร์ริส และอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นเวทีโต้อภิปรายกันครั้งแรกที่ National Constitution Center นครฟิลาเดลเฟีย รัฐเพนวิลเวเนีย วันที่ 10 ก.ย. 2024

โต้วาทะปม กม.ทำแท้ง

ประเด็นที่สองเป็นเรื่องสิทธิการคุมกำเนิดที่ศาลสูงพิพากษายกเลิกสิทธิการทำแท้งตามแนวคดีหมุดหมาย Roe V Wade

ฉันมีลูกค้าคนเดียว คือประชาชน ในฐานะอัยการ ฉันไม่เคยถามเหยื่อหรือพยานเลยว่าคุณเป็นรีพับลิกันหรือเดโมแครต คำถามเดียวที่ฉันถามก็คือ คุณโอเคไหม และนั่นคือประธานาธิบดีในแบบที่พวกเราต้องการตอนนี้ คือคนที่แคร์คุณและไม่เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง
คามาลา แฮร์ริส

ทรัมป์ กล่าวว่า ตนสนับสนุนให้คว่ำกฎหมายสิทธิทำแท้งเสรี เพราะสมาชิกเดโมแครตและผู้ที่คามาลาเลือกให้เป็นรองประธานาธิบดีนั้นยินดีการทำแท้งกับเด็กที่อายุ 7-9 เดือนไปแล้ว และกล่าวว่า ตนสนับสนุนการทำแท้งในบางกรณีเช่นเดียวกับสมาชิกพรรครีพับลิกันส่วนใหญ่

แฮร์ริส กล่าวว่า ทรัมป์เป็นผู้เลือกสมาชิกตุลาการศาลสูงสามคนที่สนับสนุนให้คว่ำกฎหมายทำแท้งเสรี ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของเขา และทรัมป์และรัฐบาลของเขาไม่มีสิทธิที่จะบอกให้สตรีทำอะไรกับร่างกายของพวกเธอ และว่า หากเธอเป็นประธานาธิบดี เธอจะนำสิทธิปกป้องกฎหมาย Roe V Wade กลับมา

ทรัมป์ระบุว่าคำตัดสินศาลสูงยกเลิก Roe V Wade เป็นสิ่งที่หลายฝ่ายต้องการ คือทำให้การตัดสินใจเรื่องสิทธิทำแท้งกลับไปอยู่ในมือของแต่ละรัฐ และเชื่อว่าการโหวตในสภาคองเกรสที่แฮร์ริสเสนอจะไม่เกิดขึ้นได้จริง

SEE ALSO: ดวลเดือดโต้วาทีแคนดิเดต ปธน. 'คามาลา-ทรัมป์'

ควันหลงนอกปมนโยบาย

ในช่วง 30 นาทีแรก ทรัมป์และแฮร์ริสต่างกล่าวว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ก่อปัญหาเศรษฐกิจ ผู้อพยพคนเข้าเมือง ไปจนถึงโจมตีเรื่องที่นอกเหนือนโยบาย เช่น ทรัมป์กล่าวว่าผู้ไปดูการรณรงค์หาเสียงของแฮร์ริสนั้นรับเงินให้มาเข้าร่วม และบอกว่าแฮร์ริสเป็นผู้นิยมลัทธิมาร์กซิสต์

ส่วนแฮร์ริสกล่าวว่าผู้ร่วมงานหาเสียงทรัมป์หลายคนเดินออกจากงานก่อนเวลาด้วยความเหนื่อยและเบื่อหน่าย และทรัมป์จะพูดถึงทุกเรื่องยกเว้นเรื่องของประชาชน เพราะเขาไม่มีแผนใด ๆ ในเรื่องนั้น

ปมปัญหาผู้อพยพทะลักเข้าประเทศ

ในประเด็นคนเข้าเมือง แฮร์ริสกล่าวว่า เธอคืออัยการที่ต่อสู้กับอาชญากรที่ลักลอบเข้ามาในสหรัฐฯ และรัฐบาลไบเดนทำข้อเสนอในสภาคองเกรสเพื่อเสริมสร้างศักยภาพการตรวจตราป้องกันการลักลอบปืน ยาเสพติด และมนุษย์ข้ามพรมแดน แต่กล่าวหาว่าทรัมป์เป็นผู้บอกให้ผู้แทนในสภาคองเกรสคว่ำร่างฯ นั้นเสีย

เธอ (แฮร์ริส) ควรไปตอนนี้ และไปที่ทำเนียบขาว ไปที่อาคารรัฐสภา รวบรวมคนไปทำสิ่งที่เธออยากทำแต่ยังไม่ทำ และจะไม่ทำ เพราะคุณเชื่อในสิ่งที่คนอเมริกันไม่เชื่อ คุณเชื่อว่าเราจะไม่ทำแฟรกกิ้ง ไม่เอาเชื้อเพลิงฟอสซิลขึ้นมา ไม่ทำในสิ่งที่ประเทศจะเข้มแข็งไม่ว่าคุณจะชอบหรือไม่
โดนัลด์ ทรัมป์

ทรัมป์ กล่าวโต้ว่า รัฐบาลไบเดนและแฮร์ริสคือผู้ที่ปล่อยให้อาชญากรเข้ามาในประเทศ เข้ามาก่อกวนประชาชน และกินสุนัขและสัตว์เลี้ยงของผู้คนในเมืองต่าง ๆ อัตราอาชญากรรมในประเทศนี้เพิ่มขึ้นอย่างมาก ในขณะที่ลดลงในประเทศอื่น เนื่องจากอาชญากรในประเทศเหล่านั้นลักลอบเข้ามาอยู่ในอเมริกาภายใต้รัฐบาลชุดนี้

ผู้ดำเนินรายการบอกว่าเอฟบีไอรายงานว่า ตัวเลขอาชญากรรมโดยรวมในสหรัฐฯ ลดลง แต่ทรัมป์ปฏิเสธข้อมูลชุดนั้น โดยระบุว่าเอฟบีไอไม่ได้เก็บข้อมูลจากเมืองที่มีอาชญากรรมสูง

ด้านแฮร์ริส กล่าวโต้ว่า เรื่องปัญหาอาชญากรรมนี้ไม่ควรมาจากปากของผู้ที่ถูกดำเนินคดีทางกฎหมายในหลายคดีอย่างทรัมป์ แต่ทรัมป์โต้ว่าเขาถูกกล่าวหาและดำเนินคดีอย่างไม่เป็นธรรม

Your browser doesn’t support HTML5

นับถอยหลัง ‘แฮร์ริส-ทรัมป์’ เตรียมประจัญบนเวทีดีเบตนัดสำคัญขึ้นเป็นผู้นำสหรัฐฯ

เหตุการณ์จลาจล 6 มกราคม 2021

หนึ่งในประเด็นที่ทั้งคู่แลกเปลี่ยนวาทะดุเดือด คือประเด็นการส่งผ่านอำนาจทางการเมืองอย่างสันติ ที่ผู้ดำเนินรายการยกประเด็นการก่อจลาจลบุกอาคารรัฐสภาเมื่อ 6 มกราคม 2021 โดยทรัมป์ชี้แจงถึงบทบาทในการสื่อสารถึงผู้ชุมนุมในช่วงเวลานั้น โดยระบุว่าเขาสนับสนุนการเคลื่อนไหวที่ “รักชาติและสันติ” และหันกลับไปโจมตีแฮร์ริสเรื่องอาชญากรรมที่เกิดขึ้นโดยผู้อพยพที่เข้ามาในสหรัฐฯ

ผมจะทำให้สิ่งเหล่านี้ (สงครามและความขัดแย้ง) จบ และอย่างรวดเร็ว และผมจะทำให้สงครามระหว่างยูเครนและรัสเซียจบลง หากผมได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี ผมจะทำให้มันจบตั้งแต่ก่อนจะขึ้นเป็นประธานาธิบดี
โดนัลด์ ทรัมป์

ด้านแฮร์ริสกล่าวหาว่าทรัมป์เป็นผู้ยุยงให้เกิดการชุมนุมในวันดังกล่าว เธอเสนอให้ประเทศไม่กลับไปอยู่ในจุดนั้น และเดินหน้าเพื่อยุติการโจมตีคุณค่าพื้นฐานของประชาธิปไตยสหรัฐฯ เพียงเพราะไม่พอใจผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นหลังการเลือกตั้ง

เมื่อผู้ดำเนินรายการถามทรัมป์ว่า เขายอมรับหรือยังว่าเขาพ่ายแพ้การเลือกตั้งต่อไบเดนเมื่อปี 2020 ทรัมป์ยังคงไม่ยอมรับว่าเขาแพ้ และว่าการเลือกตั้งนั้นเลวร้ายและมีชื่อผู้ลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายเข้ามาในรายชื่อผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งด้วย

ส่วนแฮร์ริส กล่าวว่า ทรัมป์ถูกไล่ออกไปแล้วโดยประชาชน 81 ล้านคน และทรัมป์ยังแพ้คดีที่มาจากการไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งอีกด้วย

แตะประเด็นพลังงาน

ในประเด็นพลังงาน แฮร์ริสปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ว่าเธอต่อต้านการขุดเจาะน้ำมันแบบแฟรกกิ้ง และยืนยันว่าเธอคือผู้สนับสนุนเรื่องนี้เพื่อให้สหรัฐฯ เป็นอิสระจากการพึ่งพาน้ำมันต่างชาติ ด้านทรัมป์กล่าวว่าแฮร์ริสโกหกอีก เพราะเธอคือผู้ที่ต่อต้านการแฟรกกิ้งนานหลายปี รวมทั้งต่อต้านการให้เงินทุนเพิ่มขึ้นต่อตำรวจ และว่า หากเธอชนะเลือกตั้ง ราคาน้ำมันจะพุ่งขึ้นอีกมาก

แฮร์ริสเปลี่ยนท่าทีในหลายเรื่อง นับตั้งแต่เธอลงรับเลือกตั้ง รวมถึงนโยบายน้ำมันแฟรกกิ้ง รายงานข่าวก่อนหน้านี้คาดว่าเธอต้องการชนะใจฐานเสียงรัฐเพนซิลเวเนียที่เป็นรัฐสมรภูมิ ซึ่งอุตสาหกรรมแฟรกกิ้งเป็นแหล่งรายได้และงานของคนในรัฐนี้ เมื่อถูกสื่อถามเรื่องการเปลี่ยนนโยบาย เธอกล่าวว่า "ค่านิยมของฉันยังไม่เปลี่ยน"

Your browser doesn’t support HTML5

บรรยากาศที่นครฟิลาเดลเฟีย ก่อนการดีเบต ทรัมป์-แฮร์ริส

ถกปมอิสราเอล-ฮามาส ลามไปยูเครน

ในประเด็นสงครามอิสราเอล-ฮามาส ทรัมป์ย้ำสิ่งที่สื่อสารมาตั้งแต่ดีเบตกับไบเดน ว่าหากเขาเป็นผู้นำ จะไม่มีสงครามอิสราเอล-ฮามาส และสงครามรัสเซีย-ยูเครนตั้งแต่แรก และกล่าวหาว่าแฮร์ริสเกลียดอิสราเอลและชาวอาหรับ รัฐบาลนี้ทำให้อิหร่านมีความเข้มแข็งขึ้น ในขณะที่รัฐบาลของทรัมป์ทำให้ชาติเผด็จการหวาดกลัวและอ่อนแอ และประกาศว่าสงครามเหล่านี้จะจบลงหากเขาชนะเลือกตั้ง และจะจบลงตั้งแต่ยังไม่เข้ารับตำแหน่ง

ฉันไม่ใช่โจ ไบเดน และฉันไม่ใช่โดนัลด์ ทรัมป์ แน่ ๆ แต่สิ่งที่ฉันเสนอคือผู้นำรุ่นใหม่ของประเทศ คนที่เชื่อในสิ่งที่เป็นไปได้ ที่เชื่อในการมองโลกในแง่ดี ในสิ่งที่เราทำได้ แทนที่จะไปหมิ่นแคลนชาวอเมริกันตลอดเวลา
คามาลา แฮร์ริส

แฮร์ริสเน้นย้ำว่าต้องมีการหยุดยิงเพื่อยุติสงคราม และต้องให้นำตัวประกันออกมาจากกาซ่า และทำงานต่อเนื่องนับจากนั้น และลองแนวทางสองรัฐ และยืนยันว่าอิสราเอลมีสิทธิในการป้องกันตนเอง เธอตอบโต้ว่าผู้นำเผด็จการทั้งหลายอยากให้ทรัมป์ขึ้นมามีอำนาจเพราะสามารถใช้ประโยชน์จากทรัมป์ได้ผ่านการยกยอ

สำหรับสงครามยูเครน ทรัมป์กล่าวว่าอยากให้สงครามสิ้นสุดลง หากตนเป็นปธน.สงครามนี้จะไม่เกิดขึ้นแต่แรก และกล่าวว่า ปธน.ปูติน และตนเคารพกันและกัน แต่ไบเดนไม่รู้ว่าจะต้องคุยกับปูตินอย่างไร และกำลังทำให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 3

แฮร์ริสกล่าวว่า ที่ทรัมป์กล่าวว่าถ้าเขาเป็นปธน. สงครามในยูเครนจะยุติลงทันทีนั้น เพราะทรัมป์จะไม่ช่วยเหลือยูเครนอีก ถือเป็นการยอมแพ้และจะทำให้รัสเซียเป็นผู้ชนะและเป็นอันตรายต่อพันธมิตรนาโต้ชาติอื่น ๆ

ทรัมป์กล่าวว่าปูตินเริ่มทำสงคราม 3 วันหลังจากที่แฮร์ริสเดินทางไปรัสเซียเพื่อเจรจาให้ไม่เกิดสงคราม นั่นเพราะความโง่เขลาของเธอ ด้านแฮร์ริสกล่าวว่า ผู้นำสหรัฐฯ จะต้องยืนหยัดเพื่อหลักการและความถูกต้อง ไม่ใช่ขายประเทศให้แก่ผู้นำประเทศอื่นเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง

รองประธานาธิบดีคามาลา แฮร์ริส และอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นเวทีโต้อภิปรายกันครั้งแรกที่ National Constitution Center นครฟิลาเดลเฟีย รัฐเพนวิลเวเนีย วันที่ 10 ก.ย. 2024

วาทะปิดดีเบต: ฝ่ายหนึ่งชูโอกาส อีกฝ่ายตั้งคำถามว่าทำไมไม่ทำตั้งแต่ตอนที่ยังมีอำนาจ

ในช่วงคำแถลงปิดท้าย ที่แต่ละคนมีเวลาสองนาที แฮร์ริสกล่าวว่าค่ำคืนนี้แสดงให้เห็นความแตกต่างของแคนดิเดตสองคน ระหว่างคนที่มองไปข้างหน้า ส่วนอีกคนมองไปที่อดีต และต้องการพาสหรัฐฯ กลับไปยังอดีต เธอต้องการสร้างเศรษฐกิจที่ดีสำหรับประชาชนอเมริกัน รักษาสถานะของอเมริกาบนเวทีโลก สร้างกองทัพที่เข้มแข็ง ปกป้องสิทธิของพลเมือง รวมทั้งสิทธิของสตรีเหนือร่างกายตนเอง เธอจะเป็นประธานาธิบดีที่มองที่คนอื่นก่อนตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่คนอเมริกันต้องการ

ทรัมป์กล่าวว่า แฮร์ริสบอกว่าจะทำอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ทำไมไม่ทำตั้งแต่ตอนที่มีอำนาจตลอดสามปีที่ผ่านมา สหรัฐฯ กลายเป็นประเทศที่ล้มเหลว ถูกประเทศอื่นหัวเราะเยาะ เกิดสงครามขึ้นในยูเครนและตะวันออกกลาง ถดถอยด้านการทหาร พ่ายแพ้ในอัฟกานิสถาน และปล่อยให้อาชญากรจำนวนมากทะลักเข้าในประเทศภายใต้รัฐบาลที่เลวร้ายที่สุด และเธอควรลงจากอำนาจได้แล้ว

เสียงสะท้อนจากสมาชิกพรรคเดโมแครต-รีพับลิกัน

แทมมี ดักเวิร์ธ วุฒิสมาชิกสังกัดพรรคเดโมแครตเชื้อสายไทย บอกกับวีโอเอไทย ว่า เธอรู้สึกว่า รองปธน.แฮร์ริสนั้นได้แสดงจุดยืนชัดเจนว่าจะเป็นประธานาธิบดีของคนอเมริกันทุกคน ไม่ใช่ของพรรคเดโมแครตเท่านั้น ซึ่งเป็นประเด็นที่ถือว่า “โดนใจมาก”

ขณะที่สิ่งที่อดีตปธน.ทรัมป์ นำเสนอออกมานั้น เธอมองว่ายิ่งตอกย้ำว่าเขาไม่ควรได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำทำเนียบขาวอีก โดยเฉพาะเมื่อคำตอบต่าง ๆ นั้นฟังดูไม่สมเหตุผลและยังโกหกมากมายด้วย

สว.แทมมี ดักเวิร์ธ พรรคเดโมแครต

“ที่สำคัญคือว่า ตอนที่โดนัลด์ ทรัมป์ คนพยายามพูดถึงคนผิวดำ หรือคนเอเชีย คามาลา แทนที่จะตอบคำถามนั้น เขาพูดว่า เขาจะเป็นประธานาธิบดีสำหรับชาวอเมริกันทุกคน ว่าจะเป็นคนที่ช่วยดูแล ป้องกันประเทศสหรัฐฯ ทั้งประเทศ ไม่ใช่ว่าเขาจะเป็นประธานาธิบดีเฉพาะสำหรับคนผิวดำ คนเอเชีย หรือคนผิวขาว เขาจะเป็นประธานาธิบดีของทุกคนในประเทศนี้ นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด” สว.ดักเวิร์ธ กล่าว

แต่ แมตต์ เกตซ์ ส.ส.จากพรรครีพับลิกัน กลับมองว่า ปธน.ทรัมป์ใช้เวทีดีเบตนี้เพื่อเน้นย้ำปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ ปัญหาด้านคนเข้าเมือง และภาวะวุ่นวายต่าง ๆ ในโลก ที่เกิดขึ้นภายใต้รัฐบาลไบเดน-แฮร์ริส และใช้เวลาในการคุมพื้นที่การโต้วาทีได้อย่างดี พร้อม ๆ กับชี้ให้เห็นถึงความล้มเหลวต่าง ๆ ของนโยบายตามแนวคิดเสรีของคามาลา แฮร์ริส

พร้อมให้ความเห็นว่า ผู้ดำเนินรายการโต้อภิปรายในครั้งนี้น่าจะมีความเป็นธรรมมากกว่านี้ เพราะจะทำให้ดีเบตนี้ออกมาดีกว่าที่เป็น เนื่องจากดูแล้วเหมือนว่าได้เลือกจะเข้าข้างอีกฝ่ายตลอดเวลา

แมตต์ เกตซ์ ส.ส.จากพรรครีพับลิกัน

“ทรัมป์ได้ทำสิ่งที่ต้องการจะทำ ซึ่งก็คือการแสดงให้ประชาชนเห็นว่า เขาคือตัวแทนของการเปลี่ยนแปลงในการเลือกตั้งครั้งนี้ ปธน.ทรัมป์ได้สะท้อน (แนวคิดของตัวเอง) ผ่านประเด็นความสับสนไม่พอใจในเรื่องปัญหาเศรษฐกิจ ความกังวลใจที่ชาวอเมริกันมีอยู่ในเรื่องความปลอดภัย และการที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ต่อไปในโลกที่จะเดินหน้าเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่สามอยู่นี้” เกตซ์ กล่าว

เขากล่าวด้วยว่า “รองปธน.แฮร์ริส พยายามหนีห่างจากประเด็นนโยบายและวิสัยทัศน์ แม้แต่นโยบายของตัวเองด้วยซ้ำ จำได้ไหมว่า รองปธน.(แฮร์ริส) เองที่เชื่อว่า (สหรัฐฯ) ควรมีการให้บริการผ่าตัดแปลงเพศที่ใช้เงินภาษีของประชาชนสำหรับผู้อพยพเข้าเมืองผิดกฎหมายที่อยู่ในคุก”

ส.ส.หนุ่มจากพรรครีพับลิกันยังเชื่อว่า ทรัมป์พร้อมจะขึ้นเวทีการโต้อภิปรายครั้งต่อไปเสมอ ถ้ามีการจัดขึ้นอีก ดังที่เคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้

  • ที่มา: วีโอเอ ภาคภาษาไทย