หญิงไทยในซาน ฟรานฯ เผยนาทีชีวิตถูกทำร้ายบนรถไฟ ระวังเต็มที่แล้วยังไม่รอด

Mantakarn Seenin, A Thai woman shows her wounds on her face caused by brutally attacked while riding the BART train in San Francisco, CA.

เหตุทำร้ายชาวเชื้อสายเอเชียเกิดขึ้นรายวันในหลายเมืองทั่วสหรัฐฯ ล่าสุดเกิดขึ้นกับหญิงเชื้อสายไทยในนครซาน ฟรานซิสโก ที่ถูกทำร้ายบนรถไฟขณะเดินทางไปทำงาน  มัณฑกาน สีนิล เหยื่อรานล่าสุดเล่าประสบการณ์เฉียดตายที่เกิดขึ้น พร้อมเตือนให้คนไทยในอเมริการะมัดระวังทุกนาทีรอบตัวที่อาจเกิดเหตุร้ายได้

Your browser doesn’t support HTML5

Exclusive Interview a Thai Woman Attacked in San Francisco


“ก็คือยังบวมอยู่แต่ก็คือใต้ตานี่คือจะเห็นแล้วว่า เหมือนในตาก็คือเหมือนมีคล้ายๆว่า เลือดออกมันในตา ก็คือหน้ายังช้ำอยู่ หน้ายังบวมอยู่หน้ายังโย้ ไปข้างนึง ก็เลยจะดูเหมือนหน้าไม่เท่ากัน”

มัณฑกาน สีนิล ชาวไทยในนครซาน ฟรานซิสโก วัย 34 ปี เล่าให้ 'วีโอเอ ไทย' ถึงอาการบาดเจ็บที่ยังเห็นได้ชัดจากใบหน้าที่บวมช้ำและดวงตาที่ยังคงมีเลือดคั่ง หลังจากเธอถูกทำร้ายและชิงโทรศัพท์​ไป ขณะกำลังโดยสารรถไฟความเร็วสูง Bay Area Rapid Transit หรือ Bart เพื่อไปทำงานที่ร้านอาหารในย่านไชน่าทาวน์เมื่อช่วงเช้าของวันอังคารที่ 18 พฤษภาคม ที่ผ่านมา

Mantakarn Seenin, A Thai woman shows her wounds on her face caused by brutally attacked while riding the BART train in San Francisco, CA.

เห็นความผิดปกติ แต่ถูกจู่โจมทำร้ายไม่ทันตั้งตัว

เขาหันกลับมา บอก ว่า “ส่งโทรศัพท์ของเธอมา” พร้อมคำเรียกที่หยาบคาย แล้วก็ชกเลย ชกๆๆ แบบไม่ยั้ง” ...
มัณฑกาน สีนิล เหยื่อชาวไทย ถูกทำร้ายที่ซาน ฟรานฯ

มัณฑกาน เล่าเหตุการณ์บนรถไฟ ซึ่งเธอสังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่าง ก่อนที่จะตกเป็นเป้าและถูกทำร้าย

“แต่ในรถก็มีผู้หญิงคนอื่นนะคะ ไม่ใช่ว่าไม่มีคือก็มี แต่คือด้วยความที่เราตัวเล็กได้มั้ง? ตัวเล็กอะไรประมาณนี้แล้ว คือไม่ได้เล่นโทรศัพท์อ่ะ ก็คือพอรู้แล้วว่าเขาลักษณะแบบว่ามันดูแปลกๆเหมือนแบบว่าเหมือนคนติดยาประมาณนี้ก็พยายามเอาโทรศัพท์ใส่กระเป๋าเสื้อแจ็คเก็ตตัวเองแล้ว พอเขาเห็นนั่นแหละแล้วเขาก็แบบนั้นแหละเขาก็ย้อนกลับมาเขาไม่ได้เดินผ่านไปมาเหมือนเขาหันกลับมาแล้วแบบว่า ว่า “ส่งโทรศัพท์ของเธอมา” พร้อมคำเรียกที่หยาบคาย ประมาณนี้ แล้วก็ชกเลย แบบเราไม่ให้ไง ก็ยื้อแย่ง แล้วก็ชกๆ แบบไม่ยั้ง”

พกสเปร์ยพริกไทย แต่ไม่ทันได้ใช้

มัณฑกาน ยืนยันว่า ที่ผ่านมาได้รับรู้ ตื่นตัวและติดตามข่าวสาร เหตุทำร้ายคนเชื้อสายเอเชียที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในนครซาน ฟรานซิสโก

ทุกครั้งที่เดินทางเธอพยายามระมัดระวังตัวตลอดเวลา ไม่พกเงินสด แต่งตัวมิดชิด หรือแม้แต่พกสเปรย์พริกไทยไว้ป้องกันตัว แต่เหตุไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นจนได้

“มี สเปรย์พริกไทย (Prepper Spray) ในกระเป๋าตลอดเวลาแต่แม้กระทั่งวันบางครั้งก็คือเอาใส่เสื้อ หรือ ถืออยู่ในมือเลย แต่วันนั้นคือคิดว่าตอนเช้า มันไม่น่าจะมีใครตื่นมาในระยะเวลาขนาดนั้นน่ะไม่น่าจะมีคนที่แบบน่าจะเป็นช่วงตอนเย็นๆ เพราะคนพลุกพล่าน

กระแสทำร้ายคนเชียรายวัน เตรียมป้องกันตลอด แต่ก็ไม่รอด

"ในซานฟรานฯ มีเหตุการณ์เกิดขึ้นทุกวัน คือพูดได้เลยว่าแบบทุกวันแล้วก็เปลี่ยนการแบบการใช้ชีวิตของตัวเองเหมือนรู้ว่าเพราะว่าตัวเองอ่ะน่าจะเป็นกลุ่มเสี่ยง เพราะว่าคนที่ไปทำงานน้อยลงแล้วก็คิดว่าเราจะไม่สะพายกระเป๋าแล้ว เราก็จะใช้เป็นแบบกระเป๋าแบบสะพายข้างใบเล็กๆก็คือไปซื้อมาใหม่เลยก็คือเหมือนแบบเป็นกระเป๋าสะพายข้าง แล้วก็ใส่เสื้อแจ็คเก็ตคงอีกตัวนึงแล้วบางวันก็ใส่หมวกด้วย ประมาณว่า เราน่าจะแบบระวังตัวมากขึ้นแล้วก็ไม่พกเงินสดเลย ก็คือเหมือนมีเงินสดในกระเป๋าแบบ 3- 5 เหรียญฯ ประมาณนี้เพราะว่าคิดว่ามันน่าจะเป็นเป้าหมายสำหรับเขาเพราะว่าเราไม่ได้แบบเป็นดูเป็นแบบคนตัวตัวใหญ่หรือตัวสูงอะไรนะคะเพราะว่าก็เดินเป็นแบบเอเชียตัวเล็กๆอะไรประมาณนี้" มัณฑกาน กล่าวกับ 'วีโอเอ ไทย'

อยากเตือนคนไทย อยากลุกขึ้นมาบอก เตือนคนทั่วไปว่า ดูสิเราเองเรามีทุกอย่างแล้ว เตรียมตัวพร้อมทุกอย่างแต่เราก็ยังโดนก็ อย่าก้มเล่นโทรศัพท์ สังเกตสิ่งรอบข้าง ...
มัณฑกาน สีนืล หญิงชาวไทยที่ถูกทำร้ายบนรถไฟ ที่ซาน ฟรานฯ

เตือนคนไทยในอเมริกา อย่าก้มเล่นโทรศัพท์ ระวังตัวทุกนาที

เหตุการณ์ร้ายครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดขึ้นกับมัณฑกาน ซึ่งทำงานและอาศัยในนครซาน ฟรานซิสโก มากว่า 8 ปี เธอย้ำว่าแม้จะป้องกันเต็มที่แต่อันตรายก็เกิดขึ้นได้หากไม่ระมัดระวังเพียงพอ

“เหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นใน 3-4 ปีที่แล้วที่โดนขโมยโทรศัพท์ คือตอนนั้นคือไม่ได้ใส่ใจเลยคือแบบนั่งเล่นโทรศัพท์เหมือนวัยรุ่นปกติแล้วเขาก็แบบผู้ชายคนนั้นนั่งอยู่ข้างๆเลย คือนั่งอยู่กับตรงข้ามเลยอ่ะแล้วพอถึงสถานีประตูเปิด เขาก็ลุกแล้วก็แบบหยิบโทรศัพท์จากมือเรา มันก็วิ่งหนีไปเลย แต่เราวิ่งตามเขาครั้งนั้นน่ะ วิ่งตามเขาแล้วก็คือได้คืนอันนั้นมัน เมื่อสมัยแบบ 4 5 ปีที่แล้ว แต่นี่ก็คือแบบเหตุการณ์นี้เราไม่ได้เล่นแบบกับโทรศัพท์ เลยอยากแบบเตือนคนไทยอยากลุกขึ้นมาว่า เตือนคนทั่วไปว่า ดูสิเราเองเรามีทุกอย่างแล้ว เตรียมตัวพร้อมทุกอย่างแต่เราก็ยังโดนก็ เลยอยากให้ทุกคนระวังตัวหรือว่าแบบขึ้นรถหรือว่าขึ้นรถไฟอะไรประมาณนี้ให้มองดูคนรอบข้างดีๆ ว่าแบบเขาดูน่าไว้ใจหรือเปล่า"

Mantakarn Seenin, A Thai woman shows her wounds on her face cause by brutally attacked while riding the BART train in San Francisco, CA.

พลเมืองดีช่วย แต่คนร้ายหนีทัน

มัณฑกาน บอกว่า เธอโชคดีที่มีผู้โดยสารชายอีก 2 คนที่อยู่ในรถไฟขบวนเดียวกัน เห็นเหตุการณ์และพยายามเข้าช่วยเหลือ แต่คนร้ายใช้โอกาสตอนประตูรถไฟเปิดเมื่อถึงสถานี วิ่งหลบหนีไปได้

“ตอนถูกทำร้าย นั้นจำไม่ได้เลย คิดว่าได้แต่ร้องตะโกน เพราะตอนนั้นช๊อคมาก แต่เหมือนมีผู้ชาย 2 คน คนนึงที่ยืนไม่ไกล อีกคนนั่งอยู่ ก็ลุกขึ้นมาช่วย แต่พอถึงสถานีประตูรถไฟเปิดพอดี เขาก็วิ่งออกไปเลย คนที่ช่วยนี่คือไม่ทันก็ แต่เขาก็ข่วยโทรแจ้งตำรวจ และอยู่เป็นพยานให้การกับตำรวจด้วย”

ยังไม่ระบุแรงจูงใจ เกลียดคนเอเชีย หรือไม่?

ขณะที่ ตำรวจซาน ฟรานซิสโก เผยความคืบหน้าของคดี กับ วีโอเอ ไทยว่า กำลังอยู่ในระหว่างสืบสวนและตรวจสอบกล้องวงจรปิดเพื่อพยายามหาตัวคนร้ายมาดำเนินคดีแล้ว แต่ยังไม่ขอเปิดเผยรายละเอียด แต่เบื้องต้นยังถือว่าเป็นคดีทำร้ายร่างกายและชิงทรัพย์ ส่วนการตรวจสอบแรงจูงใจว่ามีสาเหตุจากความเกลียดชังทางเชื้อชาติชาวเอเชียหรือไม่ ยังไม่สามรถระบุได้ในขณะนี้ แม้แต่ มัณฑกาน ที่ตกเป็นเหยื่อเองก็ยังไม่ชัดเจนในเรื่องนี้

“อันนี้ก็ไม่น่าจะคิดว่าเราน่าจะเป็นส่วนหนึ่งในเป้าหมายของเขา เท่าที่คิดนะคะไม่ได้เกี่ยวกับว่าเหยียดเชื้อชาติอะไรทำนองนั้น แต่เราอาจจะเป็นเพราะว่าเราตัวเล็กเราเป็นแบบผู้หญิงตัวเล็กๆเอเชียและมันน่าจะง่ายต่อการลงมือ เหมือนแบบหรือว่าจะทำร้ายเราเพื่อขโมยบางอย่างอะไรประมาณนี้ค่ะ คิดว่ามันน่าจะเป็นเป็นเป้าหมายของเขาที่คิดว่า ง่าย”

President Joe Biden hands a pen to Sen. Mazie Hirono, D-Hawaii, after signing the COVID-19 Hate Crimes Act, in the East Room of the White House in Washington, May 20, 2021.

ไม่ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับหญิงเคราะห์ร้ายชาวไทยในนครซาน ฟรานซิสโก จะมีความเกี่ยวข้องหรือแรงจูงใจที่มาจากกระแสความเกลียดชังชาวเชื้อสายเอเชียหรือไม่ แต่ปัญหาการทำร้ายและคุกคามชาวเอเชียที่เกิดขึ้นต่อเนื่องและเพิ่มสูงขึ้นอย่างผิดปกติในช่วงที่ผ่านมา ทำให้รัฐสภาสหรัฐฯได้ผ่านร่างกฎหมายที่จะช่วยต่อต้านอาชญากรรมจากความเกลียดชังที่มีต่อชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียและหมู่เกาะเเปซิฟิก ที่ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ลงนามและมีผลบังคับใช้ ซึ่งจะให้อำนาจกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ สามารถเร่งกระบวนการตรวจสอบและทบทวนคดีอาชญากรรมที่เกิดจากความเกลียดชังและสืบเนื่องมาจากการระบาดของโควิด-19 รวมทั้งเป็นเครื่องมือสนับสนุนให้เจ้าหน้าที่รักษากฎหมายระดับท้องถิ่นสามารถขยายขอบเขตดำเนินการในคดีความรุนแรงที่เกิดจากความเกลียดชังผู้มีเชื้อสายเอเชียด้วย