ก่อนหน้านี้ชาวจีนจำนวนไม่น้อยต่างแสดงความยินดีและให้การต้อนรับกับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ได้รับเลือกเข้ามาเป็นผู้นำสหรัฐฯ โดยเชื่อว่าภาพลักษณ์ความเป็นนักธุรกิจน่าจะมีความตรงไปตรงมามากกว่าคู่แข่งจากพรรคเดโมแครต
แต่หลังเกิดกรณีการทวีตและโทรศัพท์สายตรงเกี่ยวกับประธานาธิบดีไต้หวัน ทำให้มุมมองของจีนต้องเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง และค้นพบว่าอาจต้องเตรียมรับมือกับสิ่งไม่อาจคาดเดาได้จากว่าที่ผู้นำสหรัฐฯ คนต่อไป
เพราะไม่เพียง ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ จะทำในสิ่งที่การทูตสหรัฐฯ ระมัดระวังและต้องห้ามมาตลอดหลายสิบปี ด้วยการพูดทางโทรศัพท์โดยตรงกับ ประธานาธิบดีไช่ อิง เหวิน ของไต้หวัน จนสร้างความตกอกตกใจกับทางการจีนแล้ว เขายังย้ำในเรื่องที่ทำผ่านทวิตเตอร์ พร้อมกับระบุตำแหน่งและชื่อ "ประธานาธิบดีของไต้หวัน" อย่างชัดเจน
นอกจากนี้ยังทวีตข้อความในท่าทีที่แข็งกร้าวทางเศรษฐกิจและความมั่นคงในทะเลจีนใต้ อย่างต่อเนื่อง
สหรัฐฯ เปลี่ยนท่าทีทางการทูตกับไต้หวันตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2522 เพื่อหันมากระชับความสัมพันธ์กับรัฐบาลปักกิ่ง ขณะเดียวกันจีนก็อ้างสิทธิ์เหนือไต้หวันว่าเป็นส่วนหนึ่งของจีน ซึ่งถือเป็นข้อตกลงที่ทั้งสองประเทศร่วมกันมาตลอดเกือบ 4 ทศวรรษ
จอร์จ เออร์เนสท์ โฆษกทำเนียบขาว ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าว ยืนยันว่าทางการสหรัฐฯ ยังคงยึดมั่นในนโยบายจีนเดียวอย่างไม่เปลี่ยนแปลง
ด้านศาสตราจารย์ หวัง ตง นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยปักกิ่ง บอกว่า การทวีตของนายโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นเพียงการยกตนข่มท่านเพื่อแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นนักต่อรองที่ดีเท่านั้น
ขณะเดียวกันยังกล่าวด้วยว่า ‘ทรัมป์’ อยู่ท่ามกลางนักการเมืองจากพรรคริพับลิกันที่มีจุดยืนที่แข็งกร้าวต่อจีน
ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยปักกิ่งเรียกร้องให้จีนลดความคาดหวังในแง่บวกจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ เกี่ยวกับจีน ที่ค่อนข้างมากเกินไปก่อนหน้านี้ แล้วหันกลับมาเผชิญกับโลกความจริง
ด้านนาย ลู่ กัง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน กล่าวในการแถลงข่าวประจำสัปดาห์เป็นครั้งแรก หลังการต่อสายพูดคุยระหว่างผู้นำไต้หวันกับว่าที่ผู้นำสหรัฐ โดยไม่มีการกล่าวถึงข้อความจากทวิตเตอร์ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ แต่ระบุเพียงว่า คณะทำงานของว่าที่ผู้นำสหรัฐฯ คนต่อไป ทราบดีถึงจุดยืนของจีนในเรื่องนี้ และขณะนี้ทางทีมงานของจีนประสานการทำงานร่วมกันอยู่ตลอด
แม้จะไม่กล่าวถึงโดยตรง แต่โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน กล่าวย้ำถึงผลประโยชน์ร่วมกันและย้ำว่าความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ จีนและไต้หวัน ว่าเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ และเป็นประเด็นที่มีความละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง
ขณะที่ท่าทีของสื่อมวลชนในประเทศจีน ต่างให้ความสนใจนำเสนอข่าวการได้พูดคุยโทรศัพท์ของผู้นำไต้หวันกับนายโดนัลด์ ทรัมป์ และวิพากษ์วิจารณ์ให้เห็นถึงการขาดประสบการณ์ และความเข้าใจในความละเอียดอ่อนทางการเมืองระหว่างไต้หวันและจีนอย่างรุนแรง
พร้อมทั้งเรียกร้องให้รัฐบาลปักกิ่งจับตาท่าทีของรัฐบาลไต้หวันอย่างใกล้ชิด และเพิ่มมาตรการที่แข็งกร้าวมากขึ้น เช่นเดียวกับการเรียกร้องให้ทางการจีนเพิ่มไหวพริบและทักษะมากขึ้น เพื่อรับมือกับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่มีลักษณะตีสองหน้ามาตลอด
ศาสตราจารย์ หวัง ตง นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยปักกิ่ง ย้ำว่าแม้จะไม่มีใครทราบชัดเจนถึงท่าทีของว่าที่ประธานาธิบดีคนต่อไปของสหรัฐฯ ที่มีต่อจีน ว่าจะดำเนินนโยบายอย่างไรหลังเข้ารับตำแหน่ง แต่ทางการจีนเตรียมพร้อมที่จะเผชิญกับทุกสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นต่อจากนี้