ทางการรัสเซียเผยว่าได้ยิงโดรนยูเครนกว่า 100 ลำที่มุ่งโจมตีใน 7 แคว้นทั่วรัสเซีย ถือเป็นเหตุโจมตีรุนแรงล่าสุดเหนือน่านฟ้าของรัสเซีย นับตั้งแต่กองทัพมอสโกส่งทหารรุกรานยูเครนเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี 2022 ตามรายงานของเอพี
กระทรวงกลาโหมรัสเซีย เผยว่า ได้ยิงโดรน 125 ลำตกในช่วงข้ามคืน ใน 7 แคว้นของรัสเซีย โดยแคว้นโวลโกกราด เผชิญกับไฟไหม้ครั้งใหญ่ เนื่องจากรัสเซียสกัดโดรน 67 ลำที่บุกเข้ามาบริเวณน่านฟ้ารัสเซีย และมีโดรนอีก 17 ลำที่รัสเซียสกัดได้เหนือน่านฟ้าในแคว้นโวโรเนซห์ ทำให้เกิดเพลิงไหม้อพาร์ตเมนต์ แต่ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ดังกล่าว
นอกจากนี้ รัสเซียยังยิงโดรนอีก 18 ลำในแคว้นรอสตอฟ ซึ่งซากโดรนที่สกัดได้ตกลงในพื้นที่ป่าจนทำให้เกิดไฟป่าในพื้นที่
อีกด้านหนึ่งในวันอาทิตย์ ทางการยูเครนรายงานว่าได้สกัดโดรนรัสเซีย 15 ลำ จาก 22 ลำ ในแคว้นซูมี วินนิตเซีย มิโคลาอิฟ และโอเดสซา และมีประชาชนบาดเจ็บ 13 รายในการโจมตีซาปอริซห์เชีย
ซาปอห์ริซเชียตกเป็นเป้าโจมตีโดยระเบิดนำวิถี 10 ลูก ในหลายพื้นที่ ซึ่งสร้างความเสียหายให้กับตึกสูงและย่านที่พักอาศัย อ้างอิงจากการเปิดเผยของอีวาน เฟโดรอฟ ผู้ว่าการแคว้นซาปอห์ริซเชีย
ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน โพสต์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ X ว่าการโจมตีซาปอห์ริซเชียได้ทำลายโครงข่ายขนส่งระบบรางในพื้นที่
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันเสาร์ ยูเครนเผยว่ารัสเซียโจมตีโรงพยาบาลในเมืองซูมี ทางตะวันออกเฉียงเหนือของยูเครน คร่าชีวิต 10 ราย และบาดเจ็บอีก 22 ราย
แดเนียล เบลล์ หัวหน้าหน่วยงานติดตามตรวจสอบสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติในยูเครน กล่าวว่า โดรนกามิกาเซ่ของรัสเซียเข้าถล่มโรงพยาบาล Saint Panteleimon Clinical Hospital ถึง 2 ครั้ง ในเวลาห่างกัน 45 นาที “ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่มาจากการโจมตีครั้งที่ 2 ซึ่งคร่าชีวิตเจ้าหน้าที่ด่านหน้าที่เดินทางมาถึงจุดเกิดเหตุและผู้ป่วยที่พยายามจะอพยพจากโรงพยาบาลแห่งนี้” พร้อมกล่าวว่า “สถานพยาบาลได้รับการคุ้มครองภายใต้กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ และต้องได้รับการปกป้องเป็นพิเศษ สถานที่เหล่านี้ต้องไม่เป็นพื้นที่โจมตี”
เบลล์ กล่าวด้วยว่ามีการโจมตีสถานพยาบาลในเมืองซูมี เมื่อ 13 สิงหาคม และ 19 กันยายนตามลำดับ ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 33 คน และบาดเจ็บ 132 คน
ด้านเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองทัพกรุงเคียฟเผยเมื่อวันเสาร์ด้วยว่า รัฐบาลมอสโกอาจเตรียมการสำหรับการโจมตีทางการทหารรอบใหม่ทางตอนใต้ของยูเครน
- ที่มา: เอพี, รอยเตอร์