ไบเดนเริ่มงานปีที่ 2 พร้อมสามความท้าทาย - เศรษฐกิจ โควิด-19 และการแบ่งขั้วทางการเมือง

FILE - President Joe Biden walks with Vice President Kamala Harris after speaking on updated guidance on face mask mandates and COVID-19 response, in the Rose Garden of the White House, May 13, 2021, in Washington.

Your browser doesn’t support HTML5

Biden Facing Approval


วันที่ 20 มกราคมนี้จะครบรอบหนึ่งปีที่ปธน.ไบเดน เข้ารับตำแหน่งผู้นำอำนาจฝ่ายบริหารของสหรัฐฯ ปัญหาท้าทายต่างๆ ที่รออยู่ในวันทำพิธีปฏิญาณตนเมื่อปีที่แล้วก็ยังไม่เปลี่ยนไป และนั่นก็คือ โรคระบาดใหญ่โควิด-19 กับปัญหาความแตกแยกรวมทั้งการแบ่งขั้วทางการเมืองในอเมริกา ส่วนปัญหาใหม่ที่เพิ่มเข้ามาคือ อัตราเงินเฟ้อซึ่งสูงที่สุดในรอบ 39 ปี และประเด็นเหล่านี้ก็เป็นผลให้คนอเมริกันราว 50% ไม่เห็นด้วยกับการทำงานของปธน.ไบเดน ตามผลการสำรวจของ Ipsos poll ครั้งล่าสุด

Mallory Newall ผู้อำนวยการฝ่ายการสำรวจความคิดเห็นสาธารณะของ Ipsos อธิบายว่า เหตุผลหลักสองเรื่องที่อยู่เบื้องหลังความไม่พอ ใจของคนอเมริกันคือ ปัญหาเศรษฐกิจและโรคระบาดใหญ่โควิด-19 ซึ่งยังไม่จบสิ้นเสียที

FILE - President Joe Biden speaks before signing an executive order to improve government services, in the Oval Office of the White House, Dec. 13, 2021, in Washington.

ปธน.ไบเดน หาเสียงเลือกตั้งโดยสัญญาว่าจะรับมือและแก้ปัญหาโควิด-19 รวมทั้งจะช่วยให้เศรษฐกิจฟื้นตัว อย่างไรก็ตามถึงแม้เศรษฐกิจของสหรัฐฯ จะกระเตื้องขึ้น แต่อัตราเงินเฟ้อซึ่งสูงที่สุดในรอบ 39 ปีทำให้คนอเมริกันให้ความสำคัญกับเรื่องเศรษฐกิจมากกว่ารวมทั้งเป็นผลให้คะแนนนิยมเรื่องการบริหารเศรษฐกิจของปธน.ไบเดนอยู่ในระดับไม่ถึง 50% ด้วย

นอกจากนั้นปัญหาโควิด-19 ซึ่งยังคงยืดเยื้อและไม่มีทีท่าว่าจะจบลงง่ายๆ ก็ทำให้ความไม่พอใจของสาธารณชนอเมริกันสะท้อนกลับไปที่ตัวผู้นำรัฐบาลเช่นกัน

นอกจากปัญหาท้าทายสองเรื่องนี้แล้ว ปธน.ไบเดนได้พยายามแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ ในการใช้คะแนนเสียงของพรรคเดโมแครตในสภาคองเกรสที่มีมากกว่าคะแนนของฝ่ายรีพับลิกันเพียงเล็กน้อยผลักดันร่างกฎหมายมูลค่าหลายล้านล้านดอลลาร์ในเรื่องต่างๆ ที่เป็นนโยบายสำคัญของพรรคเดโมแครต เช่น การสร้างหลักประกันทางสังคม การฟื้นฟูสภาพแวดล้อม รวมทั้งเรื่องที่อยู่อาศัยราคาไม่แพงและสิทธิของคนทำงานที่จะลางานเพื่อดูแลครอบครัวโดยยังได้รับค่าตอบแทนด้วย

นักวิเคราะห์บางคน เช่น Andrew Puzder จาก Heritage Foundation ซึ่งเป็นหน่วยงานคลังสมองแนวทางอนุรักษ์นิยมเห็นว่า ปธน.ไบเดน ควรมุ่งให้ความสนใจกับการแก้ปัญหาเศรษฐกิจก่อน เพราะหากปล่อยให้ปัญหาเงินเฟ้อและการขาดแคลนแรงงานรวมทั้งปัญหาของระบบ supply chain ยืดเยื้อไปมากเพียงใด โอกาสที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐฯ ก็จะยิ่งตามมา ขณะที่ Jarrett Stepman นักเขียนคอลัมน์ฝ่ายอนุรักษ์นิยม ก็เป็นตัวอย่างของผู้ที่ไม่ชื่นชอบในวิธีรับมือกับโควิด-19 ของปธน.ไบเดน และโจมตีนโยบายที่กำหนดให้ผู้คนต้องฉีดวัคซีนว่า เป็นเรื่องที่เข้มงวดมากเกินไปแต่ไร้ประสิทธิผลด้วย

แต่ก็มีนักวิเคราะห์การเมืองบางคน เช่น Kevin Kosar จาก American Enterprise Institute ที่มองว่าการสื่อสารจากทำเนียบขาวเองที่เป็นปัญหา และว่า รัฐบาลของปธน.ไบเดน พลาดโอกาสเรื่องการหยิบยกกฎหมายที่ผ่านสภาได้สำเร็จขึ้นมาพูด แต่กลับเน้นเรื่องที่ทำเนียบขาวและผู้นำพรรคเดโมแครตในสภาไม่สามารถผลักดันให้เป็นผลได้ โดยเฉพาะเรื่องจุดยืนที่แตกต่างของวุฒิสมาชิกสังกัดพรรคเดโมแครตเอง ซึ่งคนอเมริกันไม่ต้องการฟัง ไม่สนใจ และไม่อยากได้ยินข้อแก้ตัวเกี่ยวกับเรื่องนี้

FILE - President Joe Biden and Vice President Kamala Harris stand together at the Martin Luther King, Jr. Memorial as they arrive to attend an event marking the 10th anniversary of the dedication of memorial in Washington, Oct. 21, 2021.

Mallory Newall จากหน่วยงานสำรวจความคิดเห็น Ipsos ชี้ว่า ขณะที่ปธน.ไบเดนเริ่มการทำงานในปีที่ 2 และปัญหาโควิด-19 ก็ย่างเข้าปีที่ 3 เช่นกันนั้น ความรู้สึกของผู้คนในขณะนี้ไม่เป็นไปในทางบวกเท่าไหร่นัก และจากความรู้สึกผิดหวังและไม่พอใจก็ทำให้เกิดคำถามและความไม่แน่ใจตามมา ซึ่งความรู้สึกของคนอเมริกันในลักษณะดังกล่าวย่อมจะส่งผลถึงเรื่องอื่นๆ เช่นความพยายามแก้ปัญหาเศรษฐกิจและการผลักดันนโยบายของพรรคเดโมแครตเพื่อแก้ปัญหาภายในประเทศตามไปด้วย