อิสราเอลประกาศในวันจันทร์ว่า จะทำการถอนทหารบางส่วนออกจากฉนวนกาซ่าเพื่อให้เจ้าหน้าที่ได้ฝึกอบรมเพิ่มเติมและพักบ้าง ขณะที่มีการประเมินว่า สงครามกับกลุ่มฮามาสนี้น่าจะดำเนินต่อไปอีกหลายเดือน
พลเรือตรีแดเนียล ฮาการิ โฆษกกองทัพอิสราเอล บอกกับผู้สื่อข่าวว่า กำลังสำรองบางส่วนนั้นจะได้เดินทางกลับบ้านในสัปดาห์นี้แล้ว โดยระบุว่า “นี่จะเป็นการช่วยลดภาระทางเศรษฐกิจอย่างมาก และจะเปิดทางให้พวกเขาได้รวบรวมกำลังให้พร้อมรับกิจกรรมต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในปีหน้า ขณะที่ การสู้รบนั้นจะเดินหน้าต่อไป และ[กองทัพ]ก็ยังต้องการพวกเขาอยู่”
แผนการถอนกำลังบางส่วนของอิสราเอลมีออกมา หลังสหรัฐฯ ซึ่งเป็นพันธมิตรหลัก กดดันให้เทลอาวีฟเปลี่ยนระดับปฏิบัติการทางทหารของตนในกาซ่าให้รุนแรงน้อยลงพร้อม ๆ กับช่วยปกป้องพลเรือนผู้บริสุทธิ์ด้วย
ขณะเดียวกัน กลุ่มติดอาวุธฮามาสในฉนวนกาซ่ายิงจรวดเข้าถล่มอิสราเอลในวันจันทร์ ทำให้ทางการต้องเปิดสัญญาณเตือนภัยการโจมตีทางอากาศทั่วประเทศทันที
อย่างไรก็ดี ไม่มีรายงานเกี่ยวกับการเสียหายหรือการเสียชีวิตและการบาดเจ็บจากการโจมตีครั้งนี้
ส่วนกองทัพอิสราเอลยังคงเดินหน้าปฏิบัติการภาคพื้นดินและทางอากาศในกาซ่าต่อไปในวันจันทร์เช่นกัน โดยกองกำลังป้องกันอิสราเอล (IDF) อ้างว่า เป็นยุทธวิธีที่ช่วยให้ฝ่ายตนสังหารผู้บัญชาการรายหนึ่งของฮามาสที่อยู่เบื้องหลังการโจมตีรุนแรงใส่ภาคใต้ของอิสราเอลเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม
เมื่อวันอาทิตย์ แกรนท์ แชปส์ รัฐมนตรีกลาโหมอังกฤษ กล่าวว่า อังกฤษ “จะไม่ลังเลที่จะดำเนินการใด ๆ เพิ่มเติมเพื่อป้องปรามภัยคุกคามต่อเสรีภาพในการเดินเรือในทะเลแดง” หลังมีรายงานการโจมตีเข้าใส่เรือต่าง ๆ โดยกลุ่มติดอาวุธฮูตีเพื่อขัดขวางเส้นทางขนส่งทางทะเลอย่างต่อเนื่อง
SEE ALSO: สหรัฐฯ เผยความสำเร็จจัดการกลุ่มฮูตีในทะเลแดง
คำประกาศของอังกฤษมีออกมา หลังกองทัพสหรัฐฯ จมเรือ 3 ลำของฮูตีที่เข้าโจมตีเรือขนส่งสินค้าของบริษัทเมอส์กในทะเลแดง
กองบัญชาการภูมิภาคเอเชียกลางและตะวันออกกลางของสหรัฐฯ (CENTCOM) เปิดเผยว่า กลุ่มฮูตีซึ่งมีอิหร่านหนุนหลัง โจมตีเข้าใส่เรือ Maersk Hangzhou (เมอส์ก หางโจว) และพยายามจะยกพลขึ้นเรือลำดังกล่าว แต่สหรัฐฯ ได้รับสัญญาณแจ้งเหตุร้าย จึงส่งเฮลิคอปเตอร์บินเข้าจัดการกับเรือของฮูตี โดยมีรายงานว่า ไม่มีผู้รอดชีวิตจากเรือ 3 ลำที่ถูกจมลง ขณะที่ เรือลำที่ 4 แล่นหนีไปได้
ในเรื่องนี้ กลุ่มฮูตีเปิดเผยว่า นักรบของตนจำนวน 10 ถูกสังหารโดยกองทัพสหรัฐฯ
- ข้อมูลบางส่วนมาจากเอพี เอเอฟพีและรอยเตอร์