เกิดเหตุระเบิดใกล้โบสถ์ยิวแห่งหนึ่งในกรุงเทลอาวีฟ อิสราเอล สังหารผู้ก่อเหตุและมีผู้บาดเจ็บอีกหนึ่งคน ในขณะที่รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ กำลังอยู่ระหว่างการเยือนอิสราเอล
โฆษกรัฐบาลอิสราเอล เดวิด เมนเซอร์ กล่าวว่า ชายผู้หนึ่งแบกเป้บรรจุวัตถุระเบิดเข้าไปในบริเวณที่มีประชาชนหนาแน่นก่อนที่จะจุดระเบิด ทำให้ตัวผู้ก่อเหตุเสียชีวิตทันที
กองกำลังติดอาวุธของกลุ่มฮามาสและกลุ่มนักรบอิสลาม กล่าวอ้างว่าอยู่เบื้องหลังการก่อเหตุครั้งนี้ซึ่งตำรวจอิสราเอลระบุว่าเป็นการก่อการร้าย ตามรายงานของรอยเตอร์
กลุ่มติดอาวุธปาเลสไตน์ทั้งสองกลุ่มมีแถลงการณ์ร่วมกันว่า ปฏิบัติการโจมตีในอิสราเอลจะดำเนินต่อไป "ตราบเท่าที่นโยบายสังหารหมู่และการลอบสังหารของอิสราเอลยังคงมีอยู่" ซึ่งหมายความถึงการโจมตีในกาซ่าและการสังหารผู้นำกลุ่มฮามาส อิสมาอิล ฮานิเยห์ ในกรุงเตหะราน เมื่อวันที่ 31 ก.ค.
เหตุระเบิดเมื่อวันอาทิตย์ เกิดขึ้นราวหนึ่งชั่วโมงหลังจากที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ แอนโทนี บลิงเคน เดินทางถึงกรุงเทลอาวีฟ เพื่อผลักดันให้เกิดการเจรจาหยุดยิงในกาซ่า
Your browser doesn’t support HTML5
รัฐมนตรีบลิงเคนกล่าวว่า ข้อเสนอหยุดยิงในกาซ่าครั้งล่าสุดนี้อาจเป็นโอกาสสุดท้ายที่จะสามารถนำตัวประกันกลับบ้าน และยุติการต่อสู้ระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสที่ยืดเยื้อมานาน 10 เดือน
"นี่คือช่วงเวลาสำคัญ อาจเป็นโอกาสที่ดีที่สุด และอาจเป็นโอกาสสุดท้ายในการนำตัวประกันกลับบ้านของพวกเขา และจัดทำข้อตกลงหยุดยิงเพื่อให้ทุกคนสามารถเดินหน้าสู่แนวทางแห่งสันติภาพและความมั่นคงในระยะยาวได้" บลิงเคนกล่าวในวันจันทร์
และภายหลังการหารือกับนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู เป็นเวลา 2 ชั่วโมงครึ่ง บลิงเคน บอกกับผู้สื่อข่าวว่า อิสราเอลตกลงยอมรับข้อเสนอที่จะประสานความต่างของสองฝ่ายในการบรรลุข้อตกลงหยุดยิงและการปล่อยตัวประกันในกาซ่า พร้อมเรียกร้องให้ฮามาสทำตามเช่นกัน โดยไม่ได้เปิดเผยว่า มีการพูดถึงประเด็นความกังวลที่กลุ่มติดอาวุธนี้หยิบยกขึ้นมาหรือไม่ อย่างไร
ครั้งนี้ถือเป็นการเยือนตะวันออกกลางครั้งที่ 10 ของรัฐมนตรีบลิงเคน นับตั้งแต่เกิดสงครามในกาซ่าที่เริ่มต้นจากกลุ่มฮามาสโจมตีอิสราเอลเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม สังหารประชาชน 1,200 คน นำไปสู่การตอบโต้ทางอิสราเอลในกาซ่าที่สังหารผู้คนไปแล้วกว่า 40,000 คน และมีผู้พลัดถิ่นราว 2.3 ล้านคน ตามข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขกาซ่า
สำหรับเงื่อนไขของการหยุดยิงของทั้งสองฝ่ายนั้นยังคงเหมือนเดิม คือแบ่งเป็น 3 ช่วง โดยช่วงแรกทั้งอิสราเอลและฮามาสต้องหยุดการต่อสู้เป็นเวลา 6 สัปดาห์ ในขณะที่ฮามาสต้องปล่อยตัวประกันที่ยังเหลืออยู่ทั้งหมดอีก 110 คน แลกกับอิสราเอลปล่อยตัวนักโทษชาวปาเลสไตน์หลายร้อยคนที่ถูกจับกุมตัวไว้
- ข้อมูลบางส่วนจากเอพี เอเอฟพี และรอยเตอร์