ประธานาธิบดีจีน สี จิ้นผิง กล่าวหาสหรัฐฯ ว่า พยายามโดดเดี่ยวและสกัดกั้นการพัฒนาของจีน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความไม่พอใจในพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่รู้สึกว่าความเจริญรุ่งเรืองและอิทธิพลบนเวทีโลกของจีนถูกคุกคามจากนโยบายของสหรัฐฯ ทั้งมาตรการจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยี นโยบายสนับสนุนไต้หวัน และท่าทีที่จีนมองว่าไม่เป็นมิตร
ประธานาธิบดีสี กล่าวว่า "นโยบายจำกัดและกดทับจีน" ซึ่งนำโดยสหรัฐฯ ได้ก่อให้เกิดความท้าทายรุนแรงอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และจีนจำเป็นต้อง "กล้าตอบโต้"
เมื่อวันอังคาร รัฐมนตรีต่างประเทศจีน จิน กัง กล่าวเตือนว่า สหรัฐฯ อาจเผชิญกับ "ความขัดแย้งและการเผชิญหน้า" หากไม่เปลี่ยนท่าทีที่มีต่อจีน
แม้ที่ผ่านมา จีนไม่ใช่ชาติแรกที่ไม่พอใจต่อนโยบายเศรษฐกิจและต่างประเทศของกรุงวอชิงตัน แต่บรรดาผู้นำจีนต่างมองว่า สหรัฐฯ กำลังพยายามอย่างมากที่จะขัดขวางจีนในฐานะผู้ที่ก้าวขึ้นมาท้าทายสถานะความเป็นผู้นำโลกของอเมริกา
ทั้งนี้ พรรคคอมมิวนิสต์จีนต้องการฟื้นบทบาทของจีนในฐานะผู้นำด้านการเมืองและวัฒนธรรม ผ่านการขยายอิทธิพลทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี ตลอดจนควบรวมไต้หวันที่จีนมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของจีน แต่อเมริกากลับมองว่าเป้าหมายของจีนเหล่านั้นคือภัยคุกคาม โดยกล่าวหาว่า จีนขโมยทรัพย์สินทางปัญญาและเทคโนโลยีของบริษัทต่างชาติ
ที่ผ่านมาทั้งสองประเทศต่างมีผลประโยชน์ร่วมกันทั้งในด้านการค้า และการต่อสู้ภาวะโลกร้อน แต่ความสัมพันธ์กลับต้องตึงเครียดเพราะประเด็นไต้หวัน รวมถึงการที่รัฐบาลจีนปฏิบัติต่อฮ่องกงและชาวมุสลิมในมณฑลซินเจียง และท่าทีของจีนต่อสงครามในยูเครน
ความสัมพันธ์ของสองประเทศย่ำแย่ลงจากเหตุการณ์บอลลูนสอดแนมเหนือน่านฟ้าสหรัฐฯ เมือเดือนที่แล้ว ซึ่งอเมริกากล่าวหาว่าเป็นของทางการจีน แต่จีนออกมาปฏิเสธและกล่าวหาสหรัฐฯ กลับว่าเป็นผู้ส่งบอลลูนสอดแนมลอยเหนือน่านฟ้าจีน
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เน็ด ไพรซ์ กล่าวปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ว่ารัฐบาลวอชิงตันต้องการกดจีนเอาไว้ และยืนยันว่า สหรัฐฯ ต้องการให้ทั้งสองประเทศมีความรับผิดชอบร่วมกันทั้งในด้านการค้าและการเมืองโลก
"นี่ไม่ใช่การควบคุมจำกัดจีน ไม่ใช่การกดทับจีนเอาไว้ และไม่ใช่การสกัดจีน" "เราต้องการให้มีการแข่งขันที่ยุติธรรม และไม่ลุกลามไปเป็นความขัดแย้ง" เน็ด ไพรซ์ กล่าว
- ที่มา: เอพี