วันที่ 29 เมษายนนี้จะครบ 100 วัน ที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ทำพิธีปฏิญาณตนเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ
และในขณะที่เหลือเวลาอีกเพียง 10 วัน ดูเหมือนคะแนนนิยมของ ปธน.ทรัมป์ ยังไม่เพิ่มขึ้นจากช่วงเข้ารับตำแหน่งใหม่ๆ มากนัก คืออยู่ที่ประมาณ 40% ท่ามกลางปัญหาที่รุมเร้าทั้งในด้านต่างประเทศและปัญหาภายในประเทศ
ผลการสำรวจล่าสุดที่จัดทำโดยสำนักวิจัย Gallup ชี้ให้เห็นว่า มีคนอเมริกันราว 41% ที่ยอมรับในการทำงานของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ขณะที่ 53% ยังไม่ยอมรับ ซึ่งถือว่าเป็นคะแนนที่สูงกว่าเมื่อสามสัปดาห์ที่แล้วก่อนที่สหรัฐฯ จะยิงจรวดมิสไซล์โจมตีซีเรีย ซึ่งขณะนั้นคะแนนการยอมรับอยู่ที่ระดับเพียง 35%
ขณะที่ผลการสำรวจโดย Marist College ชี้ว่า คะแนนการยอมรับในตัว ปธน.ทรัมป์ ยังอยู่ที่ระดับ 39% แทบไม่เปลี่ยนแปลงจากช่วงก่อนการโจมตีซีเรีย ซึ่งผู้จัดทำผลสำรวจชิ้นนี้เสริมว่า “ปธน.ทรัมป์ ยังต้องแสดงให้ประชาชนอเมริกันเห็นถึงความสามารถในการเป็นผู้นำ โดยเฉพาะในด้านการต่างประเทศและการทหาร”
หลังจากเกิดความยากลำบากกับประเด็นปัญหาในประเทศในช่วงไม่กี่เดือนแรกหลังเข้ารับตำแหน่ง ไม่ว่าจะเป็นความล้มเหลวของการผลักดันคำสั่งฝ่ายบริหารควบคุมคนเข้าเมือง หรือการล้มเลิกกฎหมายโอบาม่าแคร์ ดูเหมือน ปธน.ทรัมป์ ได้หันไปให้ความสำคัญกับประเด็นต่างประเทศแทน ทั้งเรื่องโครงการนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ และสถานการณ์ความไม่สงบในซีเรียและอัฟกานิสถาน
ปธน.ทรัมป์ กล่าวว่า “เวลานี้กำลังเกิดความยุ่งเหยิงทั่วโลก ซึ่งตนมั่นใจว่าต่อไป สถานการณ์จะดีขึ้นมาก และโลกจะน่าอยู่ขึ้นก่อนที่ตนจะพ้นจากตำแหน่งไป”
บรรดาผู้นำพรรครีพับลิกันต่างออกมายกย่องการตัดสินใจของผู้นำสหรัฐฯ ในการโจมตีซีเรียด้วยจรวดมิสไซล์เมื่อต้นเดือนนี้ โดยบอกว่าเป็นการส่งสัญญาณให้มิตรและศัตรูของสหรัฐฯ ได้ทราบว่า รัฐบาลชุดนี้กล้าคิดกล้าทำกว่ารัฐบาลสหรัฐฯ ชุดก่อน
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนประเด็นปัญหาในประเทศยังคงเป็นอุปสรรคสำหรับรัฐบาล ปธน.ทรัมป์ รวมถึงเหตุการณ์ล่าสุดที่ประชาชนในกว่า 100 เมืองทั่วประเทศ เดินขบวนประท้วงในวันส่งแบบฟอร์มเรียกคืนภาษีเงินได้ เรียกร้องให้โดนัลด์ ทรัมป์ เปิดเผยรายงานภาษีของเขาเอง ยังไม่รวมถึงประเด็นอื่นๆ เช่น การปฏิรูปภาษี ที่ยังคงค้างคา
สว. ชัคค์ ชูมเมอร์ ผู้นำพรรคเดโมแครตในวุฒิสภาสหรัฐฯ กล่าวว่า “ปธน. ทรัมป์ จะต้องเจออุปสรรคต่อไปเรื่อยๆ หากยังไม่ยอมประนีประนอมกับทั้งสองฝ่าย"
ด้านนักวิเคราะห์บางคนชี้ว่า หากประธานาธิบดีทรัมป์ไม่เร่งผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกฎหมายบางอย่างตามที่ได้หาเสียงไว้ ในช่วง 100 วันแรกของการทำงาน ก็จะยิ่งเป็นเรื่องยากที่จะทำให้เกิดขึ้นหลังจากนั้น หรืออาจไม่เกิดขึ้นเลย
คุณ Sarah Binder แห่งสถาบัน Brookings ในกรุงวอชิงตัน ให้ความเห็นว่า “ปธน. ทรัมป์ กำลังประสบปัญหาในการขยายฐานสนับสนุนให้เกินกว่ากลุ่มที่เป็นแกนหนุนดั้งเดิมที่ทำให้เขาชนะเลือกตั้ง โดยเฉพาะฐานสนับสนุนในสภาที่เดิมก็มีน้อยอยู่แล้ว”
ส่วนนักวิเคราะห์การเมือง William Galston จากสถาบัน Brookings ชี้ว่า “หาก ปธน.ทรัมป์ ต้องการจะเดินหน้าผลักดันการเปลี่ยนแปลงในประเทศ หนทางที่อาจจะดีที่สุดคือการหาเสียงสนับสนุนจากในฝั่งพรรคเดโมแครต แม้จะต้องทำให้สมาชิกพรรครีพับลิกันบางส่วนไม่พอใจก็ตาม โดยเฉพาะในเรื่องการปฏิรูปภาษีและโครงการปรับปรุงสาธารณูปโภคพื้นฐานทั่วประเทศ ”
ในขณะที่เหลือเวลาอีกเพียง 10 วันก็จะครบ 100 วันที่เข้ารับตำแหน่ง ดูเหมือนสิ่งที่ ปธน.ทรัมป์ต้องทำจากนี้ต่อไป คือการสร้างความสมดุลทางการเมืองเพื่อผลักดันนโยบายในประเทศ ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของนโยบายต่างประเทศที่ยังดูสับสนและยังไม่มีทิศทางชัดเจนในระยะยาว
(ผู้สื่อข่าว Jim Malone รายงาน / ทรงพจน์ สุภาผล เรียบเรียง)