โดยปกติแล้ว ช่วง 100 วันแรกของการเริ่มบริหารงานในสมัยแรกของประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะเป็นเวลาที่มีโอกาสประสบความสำเร็จในการผลักดันแผนริเริ่มและนโยบายต่างๆ มากที่สุด เพราะมักได้รับความร่วมมือและปราศจากแรงต้านจากฝ่ายต่างๆ
แต่เรื่องนี้ดูจะยังไม่เกิดขึ้นสำหรับรัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์!
นาย Larry Sabato นักรัฐศาสตร์ของมหาวิทยาลัย University of Virginia ชี้ว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ยังไม่สามารถได้รับชัยชนะในเรื่องที่สำคัญใดๆ โดยปัญหาล่าสุดคือเมื่อวันพุธที่ผ่านมา (15 มีนาคม) เมื่อผู้พิพากษาศาลรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ในสองรัฐ ได้ออกคำสั่งยับยั้งการดำเนินตามคำสั่งผู้นำฝ่ายบริหารฉบับที่สองของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งห้ามชาวมุสลิมจากหกประเทศเดินทางเข้าสหรัฐฯ เป็นการชั่วคราว
นาย Evan Siegfried นักวางแผนการเมืองของพรรครีพับลิกัน กล่าวว่า ดูเหมือนว่ารัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะไม่มีแผนยุทธศาสตร์ระยะยาว และกำลังแก้ปัญหาแบบ "ตามดับไฟเป็นจุดๆ"
และว่าขณะนี้ยังไม่มีการรวมตัวของนักการเมืองกลุ่มใด เพื่อสนับสนุนวาระต่างๆ ของประธานาธิบดีทรัมป์ เพราะแนวนโยบายและข้อเสนอต่างๆ ของผู้นำสหรัฐฯ ขณะนี้ ไม่สอดคล้องกับจุดยืนของทั้งสองพรรคการเมืองใหญ่ในสหรัฐฯ
ตัวอย่างเช่น ข้อเสนอเพื่อยกเลิกและออกกฎหมายเพื่อทดแทนกฎหมายประกันสุขภาพเดิม หรือที่เรียกว่า "โอบามาแคร์" ก็ได้รับการคัดค้านจากนักการเมืองของทั้งสองพรรค รวมทั้งจากประชาชนที่จะได้รับผลกระทบด้วย
และ Congressional Budget Office ซึ่งเป็นหน่วยงานอิสระของรัฐสภาสหรัฐฯ ก็ได้วิเคราะห์ว่า หากมีการนำกฎหมายใหม่เรื่องนี้ออกมาใช้ ก็จะทำให้คนอเมริกันถึง 24 ล้านคนต้องเสียการประกันสุขภาพ ภายในอีกเก้าปีข้างหน้า
อีกเรื่องซึ่งเป็นที่โต้แย้งและได้รับแรงต้านจากสมาชิกรัฐสภาของทั้งสองพรรคเป็นอย่างมาก คือข้อเสนอของประธานาธิบดีทรัมป์เพื่อตัดงบประมาณของรัฐบาลกลางขนานใหญ่ โดยเฉพาะในส่วนของแผนงานสวัสดิการสังคมที่ช่วยเหลือคนยากจน และโครงการช่วยเหลือระหว่างประเทศของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ
ในขณะที่จะเพิ่มงบประมาณกลาโหมมากเป็นประวัติการณ์ ถึง 54,000 ล้านดอลลาร์ในปีนี้
และขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีผู้ติดตามทวิตเตอร์ส่วนตัวหลายล้านคน และมักโจมตีสื่อมวลชนว่าเป็นศัตรูของประชาชนก็ตาม
แต่การประมวลผลการสำรวจความนิยมโดย RealClearPolitics.com ก็แสดงว่าคะแนนนิยมในตัวประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขณะนี้ อยู่ที่ระดับ 43 % ซึ่งนับว่าต่ำกว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนอื่นใดเคยได้รับ ในช่วงเวลาเดียวกันนี้