ในช่วงต้นเดือนเมษายน ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวปราศรัยต่อคนงานก่อสร้างในรัฐวอชิงตัน ย้ำคำมั่นสัญญาระหว่างการหาเสียงเรื่อง "American First" หรือ "อเมริกามาก่อน"
โดยยืนยันว่าตนเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐฯ และไม่ต้องการเป็นประธานาธิบดีของโลก!
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์วิกฤติในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ทั้งในซีเรียและภัยคุกคามด้านนิวเคลียร์จากเกาหลีเหนือ ทำให้สหรัฐฯ ทั้งยิงจรวดขีปนาวุธโจมตีสนามบินทหารของซีเรีย และส่งกำลังทางเรือเข้าไปใกล้เกาหลีเหนือ
ทำให้เกิดคำถามขึ้นว่า สหรัฐฯ จะกลับไปมีบทบาทเป็นตำรวจโลกซึ่งตรงกันข้ามกับที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เคยให้สัญญาเรื่อง American First ระหว่างการหาเสียงหรือไม่?
อย่างไรก็ตาม นาย James Carafano สมาชิกผู้หนึ่งในคณะเตรียมงานเพื่อเข้ารับหน้าที่ของประธานาธิบดีทรัมป์ และขณะนี้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงของ Heritage Foundation กล่าวว่า
"สิ่งที่ประธานาธิบดีทรัมป์แสดงออกในขณะนี้ ไม่ใช่นโยบายการแทรกแซงกิจการในต่างประเทศ แต่เป็นเพียงความเต็มใจที่จะเข้าไปมีบทบาทเกี่ยวข้อง หากผลประโยชน์ของสหรัฐฯ ถูกคุกคาม"
และว่า "การยิงขีปนาวุธโจมตีซีเรียและการส่งกำลังทางเรือเข้าไปประชิดเกาหลีเหนือนั้น ก็เป็นเพียงการส่งสัญญาณเตือนว่า สหรัฐฯ พร้อมที่จะปกป้องผลประโยชน์ของตน"
นาย James Carafano ยังชี้ด้วยว่านโยบายต่างประเทศของประธานาธิบดีทรัมป์ อาจจะเรียกได้ว่าเป็น "แนวสายกลาง" มากกว่าของประธานาธิบดีโอบามา ซึ่งมักลังเลใจที่จะใช้กำลังทหาร
และเมื่อเทียบกับนโยบายของประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช ซึ่งก็มีแนวโน้มที่จะใช้กำลังทหารเข้าแทรกแซงมากเกินไป
อย่างไรก็ตาม นาย P.J. Crowley อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ มีความเห็นว่า
"ในท้ายที่สุดแล้วไม่ว่าสหรัฐฯ จะแสดงท่าทีที่แข็งกร้าวต่อประเทศที่เป็นปฏิปักษ์อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีทรัมป์ผู้ชนะเลือกตั้งจากคำมั่นสัญญาเรื่อง American First อาจจะพบกับปัญหาการเมืองภายในได้"
"เพราะได้รับเลือกมาเพื่อให้แก้ปัญหาของอเมริกาโดยเฉพาะ และไม่ใช่ปัญหาในซีเรีย"