รัฐบาลออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ยังคงดำเนินมาตรการล็อคดาวน์ตามเมืองสำคัญๆ ของประเทศ ภายใต้เงื่อนไขที่แตกต่างกัน เพื่อควบคุมการระบาดของโควิด-19 ให้สำเร็จ
ในเวลานี้ ประชาชนในรัฐนิวเซาท์เวลส์ของออสเตรเลีย ซึ่งเป็นรัฐที่ตั้งของนครซิดนีย์ กำลังค่อยๆ กลับมาใช้ชีวิตเป็นปกติ ขณะที่รัฐบาลเดินหน้าผ่อนคลายมาตรการล็อคดาวน์อันเข้มงวดอย่างช้าๆ หลังสัดส่วนผู้ที่อายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไปที่ได้รับวัคซีนโควิด-19 ครบโดสแล้วเพิ่มมาอยู่ที่ระดับ 80 เปอร์เซ็นต์ของประชากรกลุ่มดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว โดยทางการได้ยกเลิกคำสั่งบังคับการสวมใส่หน้ากากและอนุญาตให้ภัตตาคาร บาร์ และยิมสามารถเปิดให้บริการสำหรับผู้ที่ฉีดวัคซีนครบเข็มได้ด้วย
ขณะเดียวกัน ที่นครเมลเบิร์น ซึ่งเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่เป็นอับดับที่ 2 ของประเทศ รัฐบาลจะเริ่มผ่อนคลายคำสั่งล็อคดาวน์ในวันศุกร์นี้ ซึ่งจะทำให้ประชาชนได้กลับมาใช้ชีวิตเกือบเป็นปกติอีกครั้ง เนื่องจากอัตราการฉีดวัคซีนครบโดสของผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไปในรัฐวิกตอเรียเข้าใกล้ระดับเป้าหมายที่ 70 เปอร์เซ็นต์แล้ว
แต่ที่นิวซีแลนด์ นายกรัฐมนตรี จาซินดา อาร์เดิร์น ประกาศในวันจันทร์ว่า มาตรการล็อคดาวน์ในนครโอ๊คแลนด์ ซึ่งเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศจะยังคงอยู่ต่อไปอีก 2 สัปดาห์ แม้ว่าอัตราการฉีดวัคซีนของประเทศจะอยู่ในระดับสูงก็ตาม
นายกรัฐมนตรี อาร์เดิร์น บอกกับผู้สื่อข่าวว่า นิวซีแลนด์ยังคงต้องดำเนินมาตรการควบคุมแบบเข้มงวดต่อไปเพื่อไม่ให้อัตราการติดเชื้อกลับมาพุ่งสูงอีกครั้ง
นิวซีแลนด์ เป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศขนาดเล็กที่สามารถควบคุมการระบาดของโควิด-19 จนเกือบสำเร็จได้เมื่อปีที่แล้ว ด้วยการดำเนินมาตรการปิดพรมแดนและการล็อคดาวน์ จนกระทั่งเกิดการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสสายพันธุ์เดลตาเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา จนทำให้รัฐต้องกลับมาดำเนินแผนงานสู้กับวิกฤตการระบาดนี้อีกครั้ง
รายงานข่าวระบุว่า นายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ตัดสินใจยกเลิกแผนยุทธศาสตร์กำจัดไวรัสให้สิ้นซาก และหันกลับมาดำเนินนโยบายที่จะช่วยให้ประชาชนใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับไวรัสนี้พร้อมๆ กับการควบคุมการแพร่กระจายเชื้อต่อไปแทน