ประธานาธิบดี โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน ยืนยันความพร้อมที่จะเข้าร่วมการเจรจากับประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซีย แต่เตือนว่า หากการเจรจาเกิดล้มเหลวขึ้นมา นั่น “จะหมายถึง สงครามโลกครั้งที่ 3” โดยปริยาย
ปธน.เซเลนสกี ให้สัมภาษณ์กับสถานีข่าว ซีเอ็นเอ็น (CNN) ในวันอาทิตย์ว่า ตนเชื่อว่า สงครามที่กำลังดำเนินอยู่นี้จะไม่มีทางยุติ หากไม่มีการเจรจาเกิดขึ้น
ผู้นำยูเครนได้เรียกร้องให้มีการหารือสันติภาพกับกรุงมอสโกเพื่อฟื้นฟูบูรณภาพแห่งดินแดนและหาความยุติธรรมให้แก่ยูเครน ขณะที่ ในช่วงที่ผ่านมา ตัวแทนเจรจาจากรัสเซียเปิดเผยว่า ทั้งสองฝ่ายเริ่มมีความคืบหน้าในการเจรจาที่จะบรรลุข้อตกลงว่า ยูเครนจะไม่พยายามเข้าเป็นสมาชิกองค์การนาโต้และยึดมั่นที่จะเป็นประเทศที่มีสถานภาพเป็นกลางแล้ว
อย่างไรก็ดี ปธน.เซเลนสกี บอกกับ ซีเอ็นเอ็นว่า กองกำลังรัสเซียที่บุกเข้ามาในยูเครนนั้น มีความตั้งใจที่จะ “กำจัดและเข่นฆ่าพวกเรา” และยืนยันว่า ยูเครนจะไม่ยอมเสียอธิปไตยหรือบูรณภาพของตนให้แก่ใครด้วย พร้อมระบุว่า “พวกรัสเซียนั้นสังหารเด็กๆ ของพวกเรา พวกคุณไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วได้ และพวกคุณก็ไม่สามารถเรียกร้องให้ยูเครนยอมรับให้ ดินแดนบางแห่งมีสถานภาพเป็นสาธารณรัฐอิสระได้ และการยินยอมทำตามเช่นนั้นคือ สิ่งที่ผิด”
ขณะเดียวกัน กองทัพรัสเซียเดินหน้าโจมตีพื้นที่เมืองมาริอูโพลต่อเนื่อง โดยในวันอาทิตย์ สภาเมืองเปิดเผยว่า รัสเซียได้ยิงทำลายอาคารที่ตั้งโรงเรียนศิลปะแห่งหนึ่ง ซึ่งถูกใช้เป็นที่หลบภัยของผู้คนราว 400 คน แม้จะมีการเขียนตัวอักษรเป็นภาษารัสเซียที่แปลว่า “เด็กๆ” ขนาดใหญ่บนพื้นนอกอาคาร ที่สามารถมองเห็นจากเครื่องบินได้แล้วก็ตาม
ทั้งนี้ สภาเมืองมาริอูโพลยังไม่สามารถยืนยันข้อมูลเกี่ยวกับผู้รอดชีวิตจากการโจมตีครั้งนี้ได้
ลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์กับรายการ Face the Nation ทางสถานีโทรทัศน์ ซีบีเอส (CBS) ในวันอาทิตย์ว่า ตนคิดว่า กองกำลังของรัสเซียเลือกที่จะหันมาใช้ความรุนแรงโจมตีพลเรือนเพราะแผนการของกองทัพในการรุกคืบเข้าไปในยูเครนไม่มีความคืบหน้าดังหวัง และระบุว่า สิ่งที่เกิดขึ้น “เป็นเรื่องน่ารังเกียจอย่างยิ่ง”
ที่ผ่านมา เมืองมาริอูโพลสามารถสกัดการบุกของกองทัพรัสเซียได้ แต่แถลงการณ์จากสภาเมืองระบุว่า มีประชาชนหลายพันคนถูกรัสเซียใช้กำลังนำตัวออกจากบ้านเรือนของตนและข้ามพรมแดนไปฝั่งรัสเซียแล้ว
อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯ ประเมินว่า แผนการรุกคืบของรัสเซียที่ผ่านมานั้นไม่ประสบความสำเร็จดังหวัง ทั้งยังส่งผลให้มีทหารของรัสเซียเสียชีวิตไปแล้วกว่า 3,000 นาย โดยรัฐบาลยูเครนระบุว่า อย่างน้อย 5 รายเป็นเจ้าหน้าที่ทหารอาวุโส
ส่วนที่เมืองมิโคลาอิฟ ซึ่งอยู่ทางใต้ของประเทศและห่างจากเมืองโอเดสซา ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์ทางทหารที่สำคัญ ราว 130 กิโลเมตร รัฐบาลกรุงเคียฟยังไม่สามารถยืนยันรายงานจำนวนผู้เสียชีวิตจากการโจมตีด้วยขีปนาวุธของรัสเซียที่ค่ายทหารเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาได้
นายทหารรายหนึ่งบอกกับผู้สื่อข่าว เอเอฟพี ว่า พบศพผู้เสียชีวิตแล้ว 50 ศพ ขณะที่มีการประเมินว่า น่าจะยังมีศพเหยื่อการโจมตีนี้อีกราว 100 ศพใต้ซากปรักหักพัง
เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา กองทัพรัสเซียเปิดเผยว่า ขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียงของตนทำลายคลังอาวุธใต้ดินของยูเครนที่ตั้งอยู่ทางภาคตะวันตกของประเทศได้สำเร็จ โดยสื่อรัสเซียระบุว่า การโจมตีดังกล่าวถือเป็นครั้งแรกของรัสเซียที่ใช้อายุธล้ำสมัยในการโจมตียูเครน นับตั้งแต่เริ่มปฏิบัติการรุกรานเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
- ข้อมูลบางส่วนมาจาก เอพี เอเอฟพีและรอยเตอร์