'อเมริกา-อังกฤษ' จับมือโจมตีทางอากาศกลุ่มฮูตี

  • VOA

เครื่องบินรบ RAF Typhoon FGR4 ของอังกฤษ เตรียมการโจมตีใส่เป้าหมายกลุ่มฮูตีในเยเมน (ภาพจากกระทรวงกลาโหมอังกฤษ / เอเอฟพี)

กองทัพสหรัฐฯ เปิดเผยว่า ได้โจมตีทางอากาศใส่ระบบยิงขีปนาวุธของกลุ่มกบฏฮูตีในช่วงเช้าวันอาทิตย์ โดยระบุว่าเป็นการป้องกันตนเองต่อการเตรียมยิงขีปนาวุธของกลุ่มฮูตีซึ่งมุ่งเป้าไปที่เรือสินค้าในทะเลแดง

กองบัญชาการสหรัฐฯ ภาคพื้นตะวันออกกลางและเอเชียกลาง หรือ CENTCOM มีแถลงการณ์ทางทวิตเตอร์ในวันอาทิตย์ว่า กองทัพสหรัฐฯ ตัดสินใจว่าระบบยิงขีปนาวุธของกลุ่มฮูตีในเยเมน "สร้างภัยคุกคามต่อเรือของกองทัพสหรัฐฯ และเรือสินค้าในภูมิภาคนี้" และว่า การโจมตีครั้งนี้คือการรับประกันเสรีภาพในการเดินเรือและสร้างความปลอดภัยในน่านน้ำสากล

เมื่อวันเสาร์ สหรัฐฯ และอังกฤษ โจมตีใส่เป้าหมายอย่างน้อย 36 จุดในเยเมนซึ่งเชื่อมโยงกับกลุ่มฮูตี ส่วนใหญ่เป็นเครื่องยิงขีปนาวุธ ศูนย์เรดาร์ และโดรน ถือเป็นการโจมตีระลอกที่สองต่อกลุ่มกบฏติดอาวุธที่มีอิหร่านหนุนหลัง

กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ หรือ เพนตากอน มีแถลงการณ์ในวันเสาร์ว่า กองทัพสหรัฐฯ ได้ใช้เครื่องบินรบ F/A-18 จากเรือบรรทุกเครื่องบิน ยูเอสเอส ดไวท์ ดี ไอเซนฮาวเวอร์ (USS Dwight D. Eisenhower) ในการโจมตีเป้าหมายดังกล่าว และใช้เรือพิฆาต ยูเอสเอส เกรฟลีย์ (USS Gravely) และยูเอสเอส คาร์นีย์ (USS Carney) ยิงจรวดโทมาฮอว์กจากทะเลแดงใส่เป้าหมายด้วย

"การโจมตีอย่างเจาะจงเป้าหมายนี้มีจุดประสงค์เพื่อขัดขวางและทำลายศักยภาพของกลุ่มฮูตีในการข่มขู่คุกคามการค้าโลกและชีวิตของลูกเรือผู้บริสุทธิ์ และเพื่อตอบโต้ต่อการกระทำผิดกฎหมาย อันตรายและบ่อนทำลายเสถียรภาพ นับตั้งแต่เกิดการโจมตีเมื่อวันที่ 11 และ 22 มกราคม ปีนี้ และการโจมตีเรือบรรทุกน้ำมัน เอ็มวี มาร์ลิน ลูอันดา เมื่อวันที่ 27 ม.ค." เพนตากอนระบุ

ทางกลุ่มฮูตีออกมาประกาศทางสื่อสังคมออนไลน์ X เช่นกันว่า จะไม่ยอมแพ้ต่อการโจมตีของสหรัฐฯ และ "ปฏิบัติการทางทหารต่ออิสราเอลจะดำเนินต่อไปจนกว่าอาชญากรรมสังหารล้างเผ่าพันธุ์ในกาซ่าจะยุติลง" และว่า "ความก้าวร้าวของสหรัฐฯ และอังกฤษต่อเยเมน จะต้องถูกตอบโต้ด้วยการยกระดับความรุนแรงเช่นกัน"

เพนตากอนระบุว่า ได้โจมตีใส่เป้าหมายที่เป็นคลังอาวุธ ระบบยิงขีปนาวุธ ระบบป้องกันการโจมตีทางอากาศ เรดาร์และเฮลิคอปเตอร์ของกลุ่มฮูตี ขณะที่กองทัพอังกฤษเปิดเผยว่า ได้โจมตีใส่สถานีควบคุมโดรนทางตะวันตกของกรุงซานา เมืองหลวงของเยเมน ซึ่งเชื่อว่ากลุ่มฮูตีใช้ในการส่งโดรนโจมตีในทะเลแดง

เครื่องบินรบ F/A-18 จากเรือบรรทุกเครื่องบิน ยูเอสเอส ดไวท์ ดี ไอเซนฮาวเวอร์ (USS Dwight D. Eisenhower) เตรียมโจมตีเป้าหมายกลุ่มฮูตีในเยเมน (รอยเตอร์)

การโจมตีระลอกที่สองใส่เป้าหมายกลุ่มฮูตีครั้งนี้เริ่มขึ้นเมื่อวันศุกร์ เมื่อสหรัฐฯ ระดมโจมตีทางอากาศใส่ที่ตั้งของกลุ่มกองกำลังติดอาวุธที่อิหร่านสนับสนุนในอิรักและซีเรีย เพื่อตอบโต้การจู่โจมด้วยโดรนที่ปลิดชีพทหารอเมริกัน 3 รายในจอร์แดนเมื่อสุดสัปดาห์ที่แล้ว

การโจมตีเกิดขึ้นในพื้นที่ 7 แห่ง ซึ่งมีเป้าหมายในนั้นรวม 85 จุด รวมถึงฐานบัญชาการ ศูนย์ข่าวกรอง คลังแสงที่เก็บจรวด ขีปนาวุธ โดรน และกระสุนปืน ไปจนถึงสิ่งปลูกสร้างที่กลุ่มทหารใช้ติดต่อกับกลุ่มกองกำลังคุด (Qud’s force) ซึ่งเป็นกลุ่มที่กองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม (IRGC) ของอิหร่านใช้สานสัมพันธ์และติดอาวุธให้กลุ่มกองกำลังต่าง ๆ มีรายงานผู้เสียชีวิตเกือบ 40 คน บาดเจ็บ 23 คน

ประธานาธิบดีโจ ไบเดน กล่าวในแถลงการณ์ว่า “สหรัฐฯ ไม่แสวงหาความขัดแย้งในตะวันออกกลาง หรือที่อื่นใดในโลก แต่ขอให้ผู้ที่หวังจะทำอันตรายเรารู้ไว้ว่า ถ้าคุณทำร้ายคนอเมริกัน พวกเราก็จะตอบโต้”

จอห์น เคอร์บี โฆษกสภาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ ระบุว่าเป้าหมายการโจมตีนั้นถูกเลือกสรรอย่างระมัดระวัง เพื่อเลี่ยงความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับพลเรือน และมีหลักฐานชัดเจนที่ระบุว่า เป้าหมายเหล่านั้นเกี่ยวข้องกับการโจมตีกำลังพลสหรัฐฯ ในพื้นที่ แต่ไม่ได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่า หลักฐานดังกล่าวคืออะไร

พล.ท.ดักลาส ซิมส์ ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการร่วมของสหรัฐฯ ระบุว่าการโจมตีของสหรัฐฯ กินเวลาประมาณ 30 นาที โดยมีเป้าหมายในอิรัก 3 แห่ง และในซีเรียอีก 4 แห่ง

เครื่องบินรบ RAF Typhoon FGR4 ของอังกฤษ เตรียมการโจมตีใส่เป้าหมายกลุ่มฮูตีในเยเมน (ภาพจากรอยเตอร์)

กระทรวงการต่างประเทศอิหร่าน กล่าวว่า การโจมตีของสหรัฐฯ ถือเป็นการละเมิดอธิปไตยเหนือดินแดนของซีเรียและอิรัก และแสดงให้เห็นถึงความผิดพลาดเชิงยุทธศาสตร์อีกครั้งของสหรัฐฯ ซึ่งจะยิ่งสร้างความตึงเครียดในภูมิภาคตะวันออกกลาง

ด้านรัสเซียขอให้มีการประชุมฉุกเฉินของคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติเพื่อหารือในประเด็นนี้ทันที

ขณะเดียวกัน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ แอนโทนี บลิงเคน เดินทางเยือนตะวันออกกลางอีกครั้งในวันอาทิตย์ เพื่อใช้ความพยายามทางการทูตในการหาทางออกของความขัดแย้งในภูมิภาคนี้

  • ข้อมูลบางส่วนจากรอยเตอร์ เอพี และเอเอฟพี