การสำรวจความคิดเห็นนักเศรษฐศาสตร์และนักวิเคราะห์ล่าสุดพบว่า มีเพียง 1 ใน 4 เท่านั้นที่คาดว่า สหรัฐฯ จะประสบกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปีนี้ โดยปัจจัยที่จะส่งผลให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวน่าจะเป็นส่วนที่มาจากภายนอกประเทศ ซึ่งรวมถึงประเด็นความขัดแย้งกับจีน ตามรายงานของสำนักข่าวเอพี
อย่างไรก็ตาม National Association of Business Economics (NABE) ซึ่งเป็นผู้ทำการสำรวจครั้งนี้ที่มีการเผยแพร่ออกมาในวันจันทร์ ระบุว่า ผู้ตอบแบบสอบถามบางส่วนยังคาดว่า อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ในปีนี้จะสูงกว่าระดับ 2.5% ที่ระบบธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ตั้งเป้าไว้อยู่ดี
เมื่อปีที่แล้ว หลายฝ่ายประเมินว่า เศรษฐกิจของสหรัฐฯ ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกจะหดตัวหนักเข้าสู่ภาวะถดถอย แม้ Fed จะเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของประเทศเพื่อรับมือกับการปรับขึ้นของเงินเฟ้อตั้งแต่เมื่อปี 2021
และเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา อัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ ปรับลดลงจากระดับสูงสุดที่ 9.1% ในเดือนมิถุนายนปี 2022 มาอยู่ที่ 3.4% แล้ว ขณะที่ เศรษฐกิจของประเทศกลับขยายตัวผิดคาดและอัตราการว่าจ้างงานก็ปรับขึ้นโดยนายจ้างต่างพยายามหลีกเลี่ยงการปลดพนักงานมาตลอด แม้ว่าดอกเบี้ยจะยังสูงอยู่ก็ตาม
ถึงกระนั้น 6 ใน 10 ของผู้ตอบแบบสอบถามของ NABE ยังคงมีความกังวลอยู่ว่า ประเด็นความขัดแย้งจีน-ไต้หวันยังคงเป็นสิ่งที่อาจกระทบเศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้อยู่ แม้โอกาสของการเกิดสงครามเต็มรูปแบบจะยังอยู่ในระดับต่ำก็ตาม
ขณะเดียวกัน 97% ประเมินว่า อย่างน้อย มีโอกาสในระดับกลาง ๆ ที่ภาวะความขัดแย้งในตะวันออกกลางจะทำให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงกว่าระดับ 90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เทียบกับระดับ 77 ดอลลาร์ในเวลานี้ ทั้งยังน่าจะส่งผลกระทบก่อกวนการเดินเรือขนส่งทั่วโลก
นอกจากนั้น 85% มีความกังวลเกี่ยวกับปัญหาการขาดเสถียรภาพทางการเมืองในประเทศเอง ทั้งก่อนหรือหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีในวันที่ 5 พฤศจิกายนด้วย
อีกประเด็นที่หลายคนกังวลก็คือ สถานภาพทางการเงินของรัฐบาลสหรัฐฯ โดยเฉพาะในด้นนโยบายงบประมาณที่มีการชี้ว่า ควรจะมุ่งส่งเสริมการขยายตัวทางเศรษฐกิจทั้งในระยะปานกลางและระยะยาว รวมทั้งมีการเรียกร้องให้ลดการขาดดุลงบประมาณและภาระหนี้ด้วย
- ที่มา: เอพี