งานวิจัยชี้อาการป่วย 'โอมิครอน' รุนแรงน้อยกว่าสายพันธุ์อื่น

People queue for a COVID-19 test as the Omicron coronavirus variant continues to spread, in Manhattan, New York City, Dec. 21, 2021.

งานวิจัยชิ้นใหม่จากอังกฤษ สกอตแลนด์ และแอฟริกาใต้ ชี้ให้เห็นว่า เชื้อไวรัสกลายพันธุ์ โอมิครอน ที่แพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็วนั้น อาจทำให้เกิดอาการป่วยรุนแรงน้อยกว่าโคโรนาไวรัสสายพันธุ์อื่น

นักวิจัยที่มหาวิทยาลัยแห่งเอดินบะระ (University of Edinburgh) ในสกอตแลนด์ เปิดเผยผลการวิจัยในวันพุธที่ระบุว่า ผู้ติดเชื้อไวรัสโอมิครอนมีโอกาสป่วยรุนแรงจนต้องนำตัวส่งโรงพยาบาลน้อยลง 60% เทียบกับผู้ติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์เดลตาซึ่งเป็นสายพันธุ์หลักในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา

ขณะเดียวกัน ผลการศึกษาของอิมพีเรียล คอลเลจ ลอนดอน (Imperial College London) ระบุว่า ผู้ติดเชื้อไวรัสโอมิครอนมีโอกาสเข้ารับการรักษาฉุกเฉินน้อยลง 15%-20% และผู้ที่มีอาการป่วยรุนแรงจากโอมิครอนจนต้องรักษาในโรงพยาบาลมีจำนวนลดลงราว 40%-45% เมื่อเทียบกับสายพันธุ์อื่น

ส่วนที่แอฟริกาใต้ นักวิทยาศาสตร์ที่สถาบันโรคติดต่อแห่งชาติของแอฟริกาใต้ (National Institute for Communicable Diseases - NICD) เปิดเผยผลการศึกษาที่พบว่า ผู้ติดเชื้อโอมิครอนมีความเสี่ยงต้องรับการรักษาในโรงพยาบาลต่ำกว่าผู้ติดเชื้อสายพันธุ์เดลตาและสายพันธุ์อื่นราว 70%-80%

NICD ระบุเมื่อวันพุธด้วยว่า ตัวเลขผู้ติดเชื้อโอมิครอนในแอฟริกาใต้ได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว โดยตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่ได้ลดลงราว 20% เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว อย่างไรก็ตาม ผู้อำนวยการศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของแอฟริกาใต้เตือนว่า ประเทศอื่นไม่ควรใช้แอฟริกาใต้เป็นตัวอย่างเนื่องจากสถานการณ์การระบาดที่แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ

วัคซีนโควิดป้องกันทุกสายพันธุ์

เมื่อวันพุธ สื่อสิ่งพิมพ์ Defense One ของสถาบันวิจัยแห่งกองทัพบกสหรัฐฯ วอลเตอร์ รีด (Walter Reed Army Institute of Research) เปิดเผยว่า กำลังมีการเตรียมประกาศข่าวการพัฒนาวัคซีนที่จะสามารถป้องกันโคโรนาไวรัสได้ทุกสายพันธุ์ รวมทั้งเชื้อไวรัสที่กลายพันธุ์แล้วด้วย

รายงานระบุว่า วอลเตอร์ รีด ได้เริ่มการทดสอบกับมนุษย์ในขั้นแรกไปแล้วหลังจากที่ได้ผลน่าพอใจจากการทดลองกับสัตว์ โดยวัคซีนที่เรียกว่า “pan-coronavirus” ดังกล่าวใช้เวลาพัฒนามาราวสองปี แต่การทดสอบกับมนุษย์ต้องล่าช้าเพราะปัญหาในการหากลุ่มตัวอย่างซึ่งไม่เคยฉีดวัคซีนโควิดและไม่เคยติดเชื้อโคโรนาไวรัสมาก่อน

  • ข้อมูลบางส่วนจากเอพี เอเอฟพี และรอยเตอร์