คิม จอง อึน ผู้นำสูงสุดเกาหลีเหนือ เข้าร่วมชมการฝึกอบรมการใช้รถถังรุ่นใหม่ของกองทัพและทดลองขับด้วยตนเอง ตามรายงานของสำนักข่าวเอพีที่อ้างข้อมูลจากสื่อรัฐบาลเปียงยางในวันพฤหัสบดี
นี่เป็นครั้งที่ 3 แล้วที่มีรายงานว่า คิม เข้าร่วมสังเกตการณ์การซ้อมรบของกองทัพเกาหลีเหนือ หลังสหรัฐฯ และเกาหลีใต้เริ่มทำการร่วมซ้อมรบที่มีกำหนดระยะเวลา 11 วัน ซึ่งผู้นำกรุงเปียงยางมองว่า เป็นการฝึกซ้อมการรุกรานตน
อย่างไรก็ดี การทดสอบอาวุธของเกาหลีเหนือนี้ถือเป็นการยั่วยุที่ไม่รุนแรงมากเท่ากับการยิงทดสอบขีปนาวุธที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งมากนับตั้งแต่ปี 2022 เป็นต้นมา
สื่อ Korean Central News Agency (KCNA) ของรัฐบาลเกาหลีเหนือ รายงานว่า ในการทดสอบรถถังเมื่อวันพุธ คิม กล่าวสรรเสริญสมรรถนะของรถถังรุ่นล่าสุดของประเทศว่า “ทรงพลังที่สุดในโลก” และบอกกับทหารในกองทัพให้ยกระดับ “จิตวิญญาณการต่อสู้” ของตน รวมทั้งทำ “การเตรียมพร้อมสำหรับสงคราม” ให้เรียบร้อย
นอกจากการทดสอบรถถังแล้ว คิม จอง อึน ยังได้ร่วมตรวจสอบการทดสอบการยิงปืนใหญ่และการฝึกซ้อมรบเมื่อเร็ว ๆ นี้ด้วย
สำหรับรถถังที่มีการทดสอบนั้น มีการเปิดตัวครั้งแรกในพาเหรดกองทัพเกาหลีเหนือเมื่อปี 2020 และผู้เชี่ยวชาญของเกาหลีใต้ชี้ว่า การฝึกซ้อมในวันพุธนั้นบ่งชี้ว่า กรุงเปียงยางพร้อมนำรถถังนี้ออกมาใช้งานแล้ว
ภาพของรถถังรุ่นใหม่นี้ที่เกาหลีเหนือเผยแพร่ออกมาแสดงให้เห็นว่า พาหนะเพื่อการรบนี้มีท่อยิงขีปนาวุธ เหมือนกับระบบที่อดีตสหภาพโซเวียตเปิดตัวใช้งานในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1970 และ ยาง อุ๊ก นักวิเคราะห์จาก Asan Institute for Policy Studies กล่าวว่า รถถังใหม่นี้อาจเป็นภัยคุกคามสำหรับเกาหลีใต้ แต่ก็ยังต้องดูกันต่อไปว่า กรุงเปียงยางจะมีความสามารถในการประกอบขึ้นเป็นจำนวนมากเพื่อใช้งานได้จริงเพียงใด
ความกังวลเกี่ยวกับการเตรียมพร้อมทางทหารของเกาหลีเหนือเริ่มมีมากขึ้น หลัง คิม จอง อึน ระบุในสุนทรพจน์เมื่อเดือนมกราคมว่า จะแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อถอดส่วนที่เป็นเป้าหมายการรวมชาติกับเกาหลีใต้อย่างสันติออกเสีย และระบุใหม่ว่า เกาหลีใต้นั้นเป็น “ศัตรูหลักถาวร” ของประเทศแทน ทั้งยังกล่าวด้วยว่า รัฐธรรมนูญใหม่จะต้องระบุว่า เกาหลีเหนือจะพิชิตและผนวกเกาหลีใต้เข้ากับตน หากสงครามปะทุขึ้นมาอีกครั้ง
ผู้สังเกตการณ์ให้ความเห็นว่า คิม น่าจะต้องการใช้ประเด็นการยกระดับพัฒนาคลังแสงของประเทศเพื่อใช้เป็นข้อต่อรองกับสหรัฐฯ ให้ผ่อนคลายมาตรการลงโทษต่าง ๆ จากนานาชาติต่อตน
- ที่มา: เอพี