นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ให้สัญญาจะ “เปิดทางหลบภัย” ให้กับชาวปาเลสไตน์นับหมื่นคนออกจากเมืองราฟาห์ ซึ่งตั้งทางใต้สุดของกาซ่า ก่อนที่กองทัพอิสราเอลจะเปิดฉากการบุกทางภาคพื้นดินเพื่อจัดการกับกลุ่มฮามาส โดยยังไม่ความชัดเจนว่า ผู้พลัดถิ่นทั้งหลายลี้ภัยไปยังที่ใด
ในการให้สัมภาษณ์กับรายการ This Week ทางสถานีโทรทัศน์ เอบีซี (ABC) ของสหรัฐฯ ในวันอาทิตย์ นายกฯ เนทันยาฮู กล่าวยืนยันความตั้งใจของตนที่จะสั่งให้กองกำลังอิสราเอลโจมตีเข้าใส่กลุ่มฮามาสในเมืองราฟาห์ โดยชี้ว่า ชัยชนะเหนือกลุ่มติดอาวุธในกาซ่านั้นจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากไม่มีการกำจัดนักรบกลุ่มนี้ออกจากพื้นที่เมืองชายแดนที่ติดกับอียิปต์
ในเวลานี้ ประชาชนราว 2.3 ล้านคนในกาซ่ากำลังใช้ชีวิตกันอย่างแออัดในพื้นที่ทางใต้สุดของเขตปกครองปาเลสไตน์นี้อยู่แล้ว และเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากทั่วโลกต่อเนทันยาฮูที่มีออกมาอย่างต่อเนื่องก็ยิ่งแสดงความกังวลต่อการที่อิสราเอลจะทำการบุกภาคพื้นดินในเร็ว ๆ นี้
ถึงกระนั้น ผู้นำอิสราเอลกล่าวว่า “เราจะเดินหน้าทำการนี้ เราจะทำตามแผน พร้อม ๆ กับการจัดหาเส้นทางหลบภับให้กับประชากรพลเรือนเพื่อให้พวกเขาออกจากพื้นที่ไปได้”
และเมื่อถูกถามว่า จะให้ประชากรชาวปาเลสไตน์ที่ว่าซึ่งใช้ชีวิตอยู่ในเต๊นท์หลบภัยชั่วคราวอยู่แล้วเดินทางไปไหนต่อ เนทันยาฮูกล่าวเพียงว่า เจ้าหน้าที่อิสราเอล “กำลังหารือรายละเอียดของแผนงานอยู่”
เจ้าหน้าที่รัฐบาลจากหลายประเทศทั่วโลกแสดงความกังวลอย่างมากต่อแผนการทำสงครามของอิสราเอลในราฟาห์ รวมทั้งต่อคำสัญญาที่จะให้ความปลอดภัยต่อชาวปาเลสไตน์ที่นั่น
อันโตนิโอ กูเทอเรซ เลขาธิการใหญ่องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) กล่าวว่า มีความเสี่ยงของ “เหตุโศกนาฏกรรมครั้งมโหฬาร” หากกองกำลังป้องกันอิสราเอล (IDF) ขยายแผนการรุกคืบเข้าไปในเมืองนี้
โฆษกของกูเทอเรซ บอกกับผู้สื่อข่าวเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาเกี่ยวกับการอพยพผู้คนออกจากเมืองราฟาห์ ว่า “ไม่มีทางที่เราจะให้การสนับสนุนการบีบให้ผู้คนกลายมาเป็นคนพลัดถิ่น ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายระหว่างประเทศ”
ส่วนประธานาธิบดีโจ ไบเดน ซึ่งสนับสนุนการต่อสู้ของอิสราเอลเพื่อปกป้องตนเองหลังถูกฮามาสโจมตีโดยไม่ทันตั้งตัวเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม กล่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า แผนการของกองทัพอิสราเอลในกาซ่าถือว่า “รุนแรงหนักเกินไปกันใหญ่แล้ว”
ขณะที่ อันนาเลนา แบร์บ็อค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเยอรมนี โพสต์ข้อความทางแพลตฟอร์ม เอ็ก (X) ว่า “ประชาชนในกาซ่าไม่สามารถอันตรธานหายไปในอากาศได้” พร้อมกล่าวว่า การรุกคืบของอิสราเอลในราฟาห์จะเป็น “ความหายนะทางมนุษยธรรมที่กำลังจะปะทุขึ้น”
เมื่อวันเสาร์ รัฐมนตรีต่างประเทศซาอุดีอาระเบียเตือนให้ทุกฝ่ายตระหนักถึง “ผลสะท้อนกลับจากการจู่โจมและพุ่งเป้ารบ” ในราฟาห์ พร้อมเรียกร้องให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติจัดการประชุมด่วนเพื่อหารือเรื่องนี้ เช่นเดียวกับ เดวิด แคเมรอน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษที่กล่าวว่า ตน “รู้สึกเป็นกังวลอย่างมาก” เกี่ยวกับการรุกจู่โจมที่จะเกิดขึ้น และระบุในโพสต์ทางแพลตฟอร์ม เอ็กซ์ ว่า “สิ่งที่มีความสำคัญเหนืออื่นใดต้องเป็นการพักรบในทันที เพื่อนำส่งความช่วยเหลือเข้าไปและให้ตัวประกันได้กลับออกมา”
รายงานข่าวระบุว่า การที่อิสราเอลจะรุกเข้าไปในเมืองราฟาห์นั้นอาจนำมาซึ่งผลสะท้อนกลับอื่น ๆ ด้วย
สถานีโทรทัศน์ อัล-อัคซา ของกลุ่มฮามาสอ้างคำพูดของเจ้าหน้าที่อาวุโสรายหนึ่งของกลุ่มติดอาวุธนี้และรายงานว่า การรุกคืบทางภาคพื้นดินใด ๆ โดยอิสราเอลเข้ามาในราฟาห์จะทำให้การเจรจาการพักรบและการปล่อยตัวประกันราว 100 คนนั้น “ล้มครืน” ลงมาได้
ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลอียิปต์เตือนว่า ปฏิบัติการภาคพื้นใดในราฟาห์ หรือ การผลักดันผู้พลัดถิ่นจำนวนมากข้ามชายแดนมาฝั่งตนจะไม่เป็นผลดีต่อสนธิสัญญาสันติภาพที่ดำเนินมาถึง 40 ปีระหว่างอียิปต์และอิสราเอลได้
อุโมงค์ในกาซ่า
วิศวกรกองทัพอิสราเอลเชิญผู้สื่อข่าวจากสำนักข่าวต่างประเทศจำนวนหนึ่งเข้าไปดูอุโมงค์ในกาซ่า โดยทางเข้านั้นอยู่ติดกับโรงเรียนแห่งหนึ่งที่ติดพื้นที่ตั้งของที่ทำการของยูเอ็น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังเดินตามทางอันคดเคี้ยวในอุโมงค์ที่ว่าได้ 20 นาที ทั้งหมดก็ไปยืนอยู่ใต้ที่ทำการใหญ่ของหน่วยงานด้านการให้ความช่วยเหลือของยูเอ็น ตามคำกล่าวอ้างของเจ้าหน้าที่ระดับพันโทของอิสราเอลที่เป็นผู้นำการเดินสำรวจที่ว่า
ภายหลังการค้นพบอุโมงค์ดังกล่าวที่อิสราเอลระบุว่าเป็นที่ตั้งของพื้นที่บัญชาการของฮามาสด้วย อิสราเอล แคตซ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ โพสต์ข้อความทาง เอ็กซ์ ซึ่งมีเนื้อหาเรียกร้องให้ ฟิลิปป์ ลาสซารินิ ข้าหลวงใหญ่ของสำนักงานบรรเทาทุกข์และจัดหางานของสหประชาชาติสำหรับผู้ลี้ภัยปาเลสไตน์ในตะวันออกใกล้ (UNRWA) ลาออกจากตำแหน่ง พร้อมปฏิเสธไม่รับฟังคำพูดของลาสซิรินิที่ว่า ตนไม่ได้รู้มาก่อนว่ามีอุโมงค์อยู่ใต้ที่ทำการของหน่วยงานในกาซ่า
UNRWA ระบุในแถลงการณ์ว่า ทางหน่วยงานได้สั่งถอนเจ้าหน้าที่ออกจากที่ทำการใหญ่ที่ว่าตั้งแต่เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม หรือ 5 วันหลังฮามาสโจมตีเข้าใส่อิสราเอล ดังนั้น หน่วยงานแห่งนี้ “จึงไม่สามารถยืนยันหรือให้ความเห็นใด ๆ” ต่อการค้นพบครั้งนี้ของอิสราเอลได้
- ข้อมูลบางส่วนมาจากเอพี เอเอพีและรอยเตอร์