Your browser doesn’t support HTML5
กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิสหรัฐฯ ยืนยันจะระดมกำลังจากหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องเข้าแก้ไขปัญหาผลกระทบจากการโจมตีทางไซเบอร์ที่เครือข่ายท่อส่งน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ ซึ่งทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับการขาดแคลนน้ำมันในหลายพื้นที่
ในระหว่างการให้ข้อมูลต่อคณะกรรมาธิการจัดสรรงบประมาณของวุฒิสภาเมื่อวันพุธที่ผ่านมา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิสหรัฐฯ อเลฮานโดร มายอร์คาส กล่าวว่า รัฐบาลของประธานาธิบดี โจ ไบเดน กำลังพิจารณาจะประกาศใช้อำนาจบริหารในภาวะฉุกเฉินเพื่อช่วยให้การขนส่งน้ำมันโดยเรือ ไปยังพื้นที่ภูมิภาคต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบหนักจากเหตุการณ์โจมตีทางไซเบอร์ต่อเครือข่ายท่อส่งน้ำมันของบริษัทโคโลเนียล ไปป์ไลน์ (Colonial Pipeline) ดำเนินการได้โดยไม่สะดุด
รมต.มายอร์คาส ยืนยันว่า ทางกระทรวงฯ กำลังดำเนินงานตามแนวทางของปธน.ไบเดน ในการแก้ไขปัญหาภัยคุกคามจากการโจมตีทางไซเบอร์ ดังที่เกิดขึ้นกับบริษัทโคโลเนียล ไปป์ไลน์ และเป็นสิ่งที่องค์กรและธุรกิจอื่นๆ ทั่วประเทศยังไม่สามารถรับมือได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ บริษัทโคโลเนียล ไปป์ไลน์ ไม่สามารถนำส่งน้ำมันผ่านเครือข่ายท่อของตนได้เป็นเวลาถึง 6 วัน หลังถูกโจมตีโดยกลุ่มแฮกเกอร์ ดาร์กไซด์ (DarkSide) ที่เป็นที่รู้จักครั้งแรกเมื่อเดือนสิงหาคมของปีที่แล้ว จากการก่ออาชญากรรมทางไซเบอร์ในพื้นที่กว่า 15 ประเทศทั่วโลก ตามข้อมูลจากบริษัทรักษาความปลอดภัยด้านไซเบอร์ FireEye
รมต.กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิสหรัฐฯ ยังกล่าวกับสมาชิกคณะกรรมาธิการจัดสรรงบประมาณของวุฒิสภาด้วยว่า กรณีที่แฮกเกอร์ใช้แรนซัมแวร์ หรือซอฟต์แวร์เรียกค่าไถ่ โจมตีระบบของบริษัทโคโลเนียล ไปป์ไลน์ นั้น เป็นสิ่งที่ตนเพิ่งเตือนผู้นำธุรกิจในสหรัฐฯ ให้ระวังตัวไว้เมื่อไม่นานมานี้ และทำให้เหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นนี้เป็นเรื่องที่รัฐบาลให้ความใส่ใจอย่างมากทันที
รายงานข่าวระบุว่า ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ เพิ่งจัดตั้งทีมงานเฉพาะกิจเพื่อรับมือกับการโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ ตามแผนงานของรัฐบาลในการเตรียมการตอบโต้ภัยคุกคามทางไซเบอร์ โดยทีมงานนี้จะทำหน้าที่ประสานงานกับหน่วยงานรัฐทั้งหลายเพื่อจับตาดูและสกัดกั้นการโจมตีด้วยซอฟต์แวร์ประเภทนี้เป็นหลัก