ปริมาณน้ำมันในสหรัฐฯ กำลังขาดแคลนในหลายพื้นที่ หลังจากที่เกิดเหตุโจมตีทางไซเบอร์ต่อเครือข่ายท่อขนส่งน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ ทำให้ต้องปิดการจ่ายน้ำมันมาตั้งแต่วันศุกร์ที่แล้ว ทำให้เกิดความกังวลว่าราคาเชื้อเพลิงในสหรัฐฯ จะสูงขึ้นก่อนถึงฤดูร้อน ซึ่งเป็นช่วงที่คนอเมริกันใช้รถยนต์กันมากที่สุดในรอบปี
บริษัทโคโลเนียล ไปป์ไลน์ (Colonial Pipeline) เจ้าของเครือข่ายท่อส่งน้ำมันที่ถูกโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ หรือซอฟต์แวร์เรียกค่าไถ่ กล่าวว่า กำลังพยายามควบคุมความเสียหายและเร่งกลับมาเปิดการจ่ายน้ำมันอีกครั้งภายในสัปดาห์นี้ ในขณะที่เว็บไซต์ของทางบริษัทไม่สามารถใช้การได้ในวันอังคาร ซึ่งทางโคโลเนียลระบุว่า “เกิดความขัดข้องชั่วคราว” แต่ไม่เกี่ยวข้องกับแรนซัมแวร์แต่อย่างใด
บริษัทโคโลเนียล ไปป์ไลน์ ขนส่งน้ำมันและเชื้อเพลิงต่าง ๆ ราว 2.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากโรงกลั่นในแถบอ่าวเม็กซิโกไปยังรัฐต่าง ๆ ทางภาคตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐฯ ผ่านเครือข่ายท่อขนส่งน้ำมันความยาว 8,850 กม. โดยปริมาณน้ำมันราวครึ่งหนึ่งในแถบภาคตะวันออกของสหรัฐฯ ถูกขนส่งผ่านเครือข่ายของบริษัทนี้
สมาคมรถยนต์อเมริกัน เปิดเผยว่า ราคาน้ำมันเฉลี่ยทั่วประเทศในสหรัฐฯ ขณะนี้เพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปีค.ศ.2014 พร้อมเตือนให้ประชาชนอย่ากักตุนน้ำมัน เพราะจะยิ่งทำให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้น
สำนักงานสืบสวนกลางของสหรัฐฯ หรือ FBI ยืนยันในวันจันทร์ว่า กลุ่มแฮกเกอร์ ดาร์กไซด์ (DarkSide) ในรัสเซีย อยู่เบื้องหลังการโจมตีทางไซเบอร์ครั้งนี้ ขณะเดียวกัน กลุ่มดาร์กไซด์ มีแถลงการณ์ว่า “เป้าหมายคือการหาเงินเท่านั้น โดยไม่ได้ต้องการสร้างปัญหาให้แก่สังคม” พร้อมยืนยันว่าไม่มีความเกี่ยวข้องกับการเมือง ไม่ว่ารัฐบาลของประเทศใดก็ตาม
ทางด้านสถานทูตรัสเซียประจำสหรัฐฯ มีคำแถลงปฏิเสธความเกี่ยวข้องใด ๆ กับการโจมตีทางไซเบอร์ครั้งนี้
จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการเปิดเผยว่า กลุ่มแฮกเกอร์เรียกร้องค่าไถ่เป็นจำนวนเงินเท่าใด และทางบริษัทโคโลเนียลยังไม่ระบุว่าจะยินยอมจ่ายเงินค่าไถ่ตามที่กลุ่มแฮกเกอร์เรียกร้องหรือไม่