มหาวิทยาลัยสหรัฐฯ เร่งรับสมัครนักศึกษาชายเพิ่ม หลังตัวเลขดิ่งต่อเนื่อง

  • VOA

A student walks across campus at Malcom X College, Thursday, April 1, 2010, in Chicago. (AP Photo/M. Spencer Green)

สังคมอเมริกันประสบปัญหาหนึ่งที่อาจไม่มีใครเคยได้ยินในที่อื่น ๆ อันมีสาเหตุมาจากความเชื่อเรื่องความเป็นผู้ชายที่ไม่สอดคล้องกับความจริงนัก โดยผลกระทบจากปัญหานี้มีความชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ ในแวดวงการศึกษา

ดอนเย่ เกตส์ เด็กหนุ่มวัย 18 ปี จากเมืองชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ ได้รับความคาดหวังจากครอบครัวให้เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยในฤดูใบไม้ร่วงที่จะมาถึงนี้ แต่เกตส์ซึ่งกังวลเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายของการเรียนในระดับอุดมศึกษาและไม่แน่ใจว่า นี่เป็นสิ่งที่มีประโยชน์สำหรับเขาหรือไม่ จึงคิดว่า อยากจะเลือกเรียนต่อในสายอาชีวะมากกว่า

เกตส์เคยร่วมคณะนักเรียนมัธยมปลายมาเยี่ยมชม Malcom X Community College (MXC) ซึ่งเป็นวิทยาลัยชุมชนในเมืองชิคาโก ที่มีสัดส่วนของนักศึกษาเป็นเพศหญิงสูงถึง 75% ซึ่งแสดงให้เห็นว่า วิทยาลัยแห่งนี้เป็นสถาบันการศึกษาอีกแห่งที่กำลังประสบปัญหาการเพิ่มจำนวนนักศึกษาชายให้มากขึ้น ไม่ต่างจากวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยหลายแห่งในสหรัฐฯ

University of Washington

ข้อมูลจากศูนย์วิจัย National Student Clearinghouse Research Center ระบุว่า สัดส่วนของนักศึกษาหญิงระดับปริญญาตรีในสหรัฐฯ อยู่ที่ราว 58% ขณะที่ สัดส่วนของนักศึกษาชายในสถาบันระดับอุดมศึกษากลับปรับลดลงทุกปี

สถาบันการศึกษาบางแห่งได้พยายามดึงและรักษากลุ่มนักศึกษาชายด้วยเทคนิคต่าง ๆ อย่างเช่น เมื่อวิทยาลัย MXC พบว่าจำนวนของนักศึกษาชายผิวดำปรับลดลงมากกว่ากลุ่มอื่น จึงได้สร้างโปรแกรมให้คำปรึกษาขึ้นมาเป็นพิเศษ โดยในโปรแกรมนี้ ครูหรือเจ้าหน้าที่คนอื่นในสถาบัน 1 คนจะทำหน้าที่ให้คำปรึกษานักศึกษาชายผิวดำจำนวนสองคน

เดวิด แซนเดอร์ส ประธานของวิทยาลัย MXC ชี้ว่า โปรแกรมข้างต้นมีส่วนช่วยแก้ไขปัญหาได้ โดยขณะที่ 43% ของนักศึกษาชายผิวดำลาออกในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปี 2021 ถึงฤดูใบไม้ผลิปี 2022 แต่ 93% ของนักศึกษาที่เข้าร่วมโปรแกรมให้คำปรึกษายังคงเดินหน้าเข้าเรียนต่อไป

ทั้งนี้ แซนเดอร์สพบว่า ในช่วงที่ผ่านมา มีนักศึกษาชายบางคนไม่อยากยอมรับว่า ตนก็ต้องการความช่วยเหลือด้านการศึกษา เช่นกัน พราะแรงกดดันด้านความคาดหวังที่ผลักดันให้เพศชายต้องเข้มแข็งและไม่เผยด้านที่อ่อนแอให้ผู้อื่นเห็น

นอกจากนั้น เจ้าหน้าที่ของวิทยาลัยยังยอมรับด้วยว่า “คติความเป็นชาย” สร้างความลำบากในการเพิ่มจำนวนผู้สมัครเรียน

ยกตัวอย่างเช่น ที่ Berea College มหาวิทยาลัยเอกชนขนาดเล็กในรัฐเคนตักกีทางตอนใต้ของสหรัฐฯ ซึ่งปัจจุบันมีนักศึกษาชายน้อยกว่าปี 2019 ถึง 18% และทางผู้บริหารก็พยายามที่จะชักชวนนักศึกษาชายจากพื้นที่ใกล้เคียงในเขตเทือกเขาแอปปาลาเชียนให้มาสมัครเรียนมากขึ้นอยู่

ริค ไชลเดอร์ส ศิษย์เก่าและเป็นผู้นำโครงการแอปปาลาเชียน ของ Berea College อธิบายว่า นักศึกษาชายหลายคนที่เขาได้พบ มีแนวคิดที่ล้าสมัยเกี่ยวกับความเป็นชาย แบบเดียวกับที่เขาเคยมี ซึ่งแนวคิดดังกล่าว มองว่า การเรียนต่อในวิทยาลัย ไม่ใช่สิ่งที่ “ลูกผู้ชาย” เลือกทำ

ไชลเดอร์สเล่าด้วยว่า ในอดีต พ่อของเขาเรียกเขาว่า “เด็กมหา’ลัย” เพื่อสื่อความหมายในเชิงลบ

นักการศึกษาหลายคนกล่าวว่า เป็นเรื่องยากที่จะทำให้มหาวิทยาลัยดึงดูดนักศึกษาชายที่ได้รับการบอกกล่าวมาโดยตลอดว่า มหาวิทยาลัยนั้นไม่เหมาะสำหรับพวกเขา ขณะที่ อีกหนึ่งปัญหาก็คือ การที่เจ้าหน้าที่บางคนในสถานศึกษาไม่เชื่อว่า นักศึกษาชายนั้นก็ต้องการความช่วยเหลือมากเป็นพิเศษ

โยอาคิม บูตาคิดิส อาจารย์ด้านการศึกษาเด็กและวัยรุ่นจาก California State University วิทยาเขต Fullerton ตั้งข้อสังเกตว่า เจ้าหน้าที่บางคนมองว่า ผู้ชายมีข้อได้เปรียบมากกว่าผู้หญิงอยู่แล้ว ทำให้สถาบันเหล่านั้นอาจไม่ค่อยให้การสนับสนุนเป็นพิเศษสำหรับนักศึกษาชาย

บูตาคิดิส กล่าวว่า เขาพยายามทำให้มหาวิทยาลัยให้ความสำคัญกับการสมัครเข้าศึกษาและการศึกษาของนักศึกษาชาย แต่ปรากฏว่า เพื่อนร่วมงานของเขาไม่เชื่อเช่นนั้น

และเพราะโดยรวมแล้ว ชายผิวดำมีโอกาสเข้าเรียนวิทยาลัยน้อยกว่าชายผิวขาว บูตากิดิส จึงคิดว่า สถาบันการศึกษาควรให้ความสำคัญกับชายผิวดำเป็นลำดับแรก

A high school student from Arleta, California reads information about possible college choices at the National College Fairs event held in Pasadena, California in 2009.

วิทยาลัยบางแห่งทั่วสหรัฐฯ ได้เริ่มดำเนินการดังกล่าวแล้ว เช่น ระบบวิทยาลัยชุมชนขนาดใหญ่ของรัฐแคลิฟอร์เนียที่เพิ่มการสนับสนุนโครงการเครือข่ายการศึกษาและพัฒนาชายชาวแอฟริกันอเมริกัน หรือโครงการ A2MEND ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อดึงดูดและรักษากลุ่มชายผิวดำไว้ในระบบการศึกษา อย่างเช่น การให้คำปรึกษาสำหรับนักศึกษาแบบตัวต่อตัว และการจัดหาสถานที่ให้นักศึกษาได้พบปะกัน โปรแกรมนี้หวังว่า นักศึกษาผิวดำจะรู้สึกเป็นที่ต้อนรับและสร้างความรู้สึกเป็นชุมชน

อามานูเอล เกบรู รองประธานฝ่ายสนับสนุนนักศึกษาจาก Moorpark ซึ่งเป็นวิทยาลัยชุมชนในรัฐแคลิฟอร์เนีย และยังเป็นประธานโครงการ A2MEND มองว่า มหาวิทยาลัยต่าง ๆ ควรว่าจ้างอาจารย์ผิวดำให้มากขึ้น

ข้อมูลจากศูนย์สถิติ National Center for Education Statistics (NCES) ชี้ว่า โดยเฉลี่ยแล้ว คณาจารย์ในมหาวิทยาลัยอเมริกันมีคนผิวดำในสัดส่วนเพียง 7% ซึ่งสูงกว่าที่ Moorpark ซึ่งมีสัดส่วนอาจารย์ที่เป็นคนผิวสีที่เพียง 2% ขณะที่ ในภาพรวมนั้น ประชากรสหรัฐฯ เป็นคนผิวดำในสัดส่วน 13.6%

FILE - A crowd of people take part in a Juneteenth commemoration at Leimert Park Plaza in Los Angeles on June 19, 2021. California's major population centers of Los Angeles and the San Francisco Bay area lost population in the same year, according to data

อีกหนึ่งตัวอย่าง คือ Montclair State University ในรัฐนิวเจอร์ซี ที่ได้ดึงดูดนักศึกษาชายจากชุมชนต่าง ๆ ในรัฐนั้นด้วยวิธีที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการติวหนังสือ การให้คำปรึกษา การจัดหาอาหารให้ และวิธีอื่นๆ ที่คิดว่า นักศึกษามีความต้องการ

แดเนียล จีน ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายโปรแกรมพิเศษ ของ Montclair State University ระบุว่า หลายชุมชนยังคงเชื่อว่าผู้ชายไม่ต้องเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยก็ได้ พร้อมชี้ว่า ปัญหาสภาพแวดล้อมที่ต่อต้านการเรียนรู้นั้นก็เลวร้ายลงเรื่อย ๆ เพราะความบกพร่องของนิยามความเป็นชายนั่นเอง

วอห์น สมิธ จูเนียร์ นักศึกษาชายผิวดำวัย 23 ปี จาก Montclair State University เล่าว่า เด็กชายและผู้ชายในแถบที่คนมีฐานะยากจนอาจให้ความสนใจกับสิ่งอื่นมากกว่าการวางแผนเรียนต่อในมหาวิทยาลัย และแม้ว่าบางคนจะเข้าศึกษาต่อ แต่มีจำนวนไม่น้อยได้หลุดออกจากระบบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

  • ที่มา: วีโอเอ