สังคมอเมริกันประสบปัญหาหนึ่งที่อาจไม่มีใครเคยได้ยินในที่อื่น ๆ อันมีสาเหตุมาจากความเชื่อเรื่องความเป็นผู้ชายที่ไม่สอดคล้องกับความจริงนัก โดยผลกระทบจากปัญหานี้มีความชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ ในแวดวงการศึกษา
ดอนเย่ เกตส์ เด็กหนุ่มวัย 18 ปี จากเมืองชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ ได้รับความคาดหวังจากครอบครัวให้เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยในฤดูใบไม้ร่วงที่จะมาถึงนี้ แต่เกตส์ซึ่งกังวลเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายของการเรียนในระดับอุดมศึกษาและไม่แน่ใจว่า นี่เป็นสิ่งที่มีประโยชน์สำหรับเขาหรือไม่ จึงคิดว่า อยากจะเลือกเรียนต่อในสายอาชีวะมากกว่า
เกตส์เคยร่วมคณะนักเรียนมัธยมปลายมาเยี่ยมชม Malcom X Community College (MXC) ซึ่งเป็นวิทยาลัยชุมชนในเมืองชิคาโก ที่มีสัดส่วนของนักศึกษาเป็นเพศหญิงสูงถึง 75% ซึ่งแสดงให้เห็นว่า วิทยาลัยแห่งนี้เป็นสถาบันการศึกษาอีกแห่งที่กำลังประสบปัญหาการเพิ่มจำนวนนักศึกษาชายให้มากขึ้น ไม่ต่างจากวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยหลายแห่งในสหรัฐฯ
ข้อมูลจากศูนย์วิจัย National Student Clearinghouse Research Center ระบุว่า สัดส่วนของนักศึกษาหญิงระดับปริญญาตรีในสหรัฐฯ อยู่ที่ราว 58% ขณะที่ สัดส่วนของนักศึกษาชายในสถาบันระดับอุดมศึกษากลับปรับลดลงทุกปี
สถาบันการศึกษาบางแห่งได้พยายามดึงและรักษากลุ่มนักศึกษาชายด้วยเทคนิคต่าง ๆ อย่างเช่น เมื่อวิทยาลัย MXC พบว่าจำนวนของนักศึกษาชายผิวดำปรับลดลงมากกว่ากลุ่มอื่น จึงได้สร้างโปรแกรมให้คำปรึกษาขึ้นมาเป็นพิเศษ โดยในโปรแกรมนี้ ครูหรือเจ้าหน้าที่คนอื่นในสถาบัน 1 คนจะทำหน้าที่ให้คำปรึกษานักศึกษาชายผิวดำจำนวนสองคน
เดวิด แซนเดอร์ส ประธานของวิทยาลัย MXC ชี้ว่า โปรแกรมข้างต้นมีส่วนช่วยแก้ไขปัญหาได้ โดยขณะที่ 43% ของนักศึกษาชายผิวดำลาออกในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปี 2021 ถึงฤดูใบไม้ผลิปี 2022 แต่ 93% ของนักศึกษาที่เข้าร่วมโปรแกรมให้คำปรึกษายังคงเดินหน้าเข้าเรียนต่อไป
ทั้งนี้ แซนเดอร์สพบว่า ในช่วงที่ผ่านมา มีนักศึกษาชายบางคนไม่อยากยอมรับว่า ตนก็ต้องการความช่วยเหลือด้านการศึกษา เช่นกัน พราะแรงกดดันด้านความคาดหวังที่ผลักดันให้เพศชายต้องเข้มแข็งและไม่เผยด้านที่อ่อนแอให้ผู้อื่นเห็น
นอกจากนั้น เจ้าหน้าที่ของวิทยาลัยยังยอมรับด้วยว่า “คติความเป็นชาย” สร้างความลำบากในการเพิ่มจำนวนผู้สมัครเรียน
ยกตัวอย่างเช่น ที่ Berea College มหาวิทยาลัยเอกชนขนาดเล็กในรัฐเคนตักกีทางตอนใต้ของสหรัฐฯ ซึ่งปัจจุบันมีนักศึกษาชายน้อยกว่าปี 2019 ถึง 18% และทางผู้บริหารก็พยายามที่จะชักชวนนักศึกษาชายจากพื้นที่ใกล้เคียงในเขตเทือกเขาแอปปาลาเชียนให้มาสมัครเรียนมากขึ้นอยู่
ริค ไชลเดอร์ส ศิษย์เก่าและเป็นผู้นำโครงการแอปปาลาเชียน ของ Berea College อธิบายว่า นักศึกษาชายหลายคนที่เขาได้พบ มีแนวคิดที่ล้าสมัยเกี่ยวกับความเป็นชาย แบบเดียวกับที่เขาเคยมี ซึ่งแนวคิดดังกล่าว มองว่า การเรียนต่อในวิทยาลัย ไม่ใช่สิ่งที่ “ลูกผู้ชาย” เลือกทำ
ไชลเดอร์สเล่าด้วยว่า ในอดีต พ่อของเขาเรียกเขาว่า “เด็กมหา’ลัย” เพื่อสื่อความหมายในเชิงลบ
นักการศึกษาหลายคนกล่าวว่า เป็นเรื่องยากที่จะทำให้มหาวิทยาลัยดึงดูดนักศึกษาชายที่ได้รับการบอกกล่าวมาโดยตลอดว่า มหาวิทยาลัยนั้นไม่เหมาะสำหรับพวกเขา ขณะที่ อีกหนึ่งปัญหาก็คือ การที่เจ้าหน้าที่บางคนในสถานศึกษาไม่เชื่อว่า นักศึกษาชายนั้นก็ต้องการความช่วยเหลือมากเป็นพิเศษ
โยอาคิม บูตาคิดิส อาจารย์ด้านการศึกษาเด็กและวัยรุ่นจาก California State University วิทยาเขต Fullerton ตั้งข้อสังเกตว่า เจ้าหน้าที่บางคนมองว่า ผู้ชายมีข้อได้เปรียบมากกว่าผู้หญิงอยู่แล้ว ทำให้สถาบันเหล่านั้นอาจไม่ค่อยให้การสนับสนุนเป็นพิเศษสำหรับนักศึกษาชาย
บูตาคิดิส กล่าวว่า เขาพยายามทำให้มหาวิทยาลัยให้ความสำคัญกับการสมัครเข้าศึกษาและการศึกษาของนักศึกษาชาย แต่ปรากฏว่า เพื่อนร่วมงานของเขาไม่เชื่อเช่นนั้น
และเพราะโดยรวมแล้ว ชายผิวดำมีโอกาสเข้าเรียนวิทยาลัยน้อยกว่าชายผิวขาว บูตากิดิส จึงคิดว่า สถาบันการศึกษาควรให้ความสำคัญกับชายผิวดำเป็นลำดับแรก
วิทยาลัยบางแห่งทั่วสหรัฐฯ ได้เริ่มดำเนินการดังกล่าวแล้ว เช่น ระบบวิทยาลัยชุมชนขนาดใหญ่ของรัฐแคลิฟอร์เนียที่เพิ่มการสนับสนุนโครงการเครือข่ายการศึกษาและพัฒนาชายชาวแอฟริกันอเมริกัน หรือโครงการ A2MEND ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อดึงดูดและรักษากลุ่มชายผิวดำไว้ในระบบการศึกษา อย่างเช่น การให้คำปรึกษาสำหรับนักศึกษาแบบตัวต่อตัว และการจัดหาสถานที่ให้นักศึกษาได้พบปะกัน โปรแกรมนี้หวังว่า นักศึกษาผิวดำจะรู้สึกเป็นที่ต้อนรับและสร้างความรู้สึกเป็นชุมชน
อามานูเอล เกบรู รองประธานฝ่ายสนับสนุนนักศึกษาจาก Moorpark ซึ่งเป็นวิทยาลัยชุมชนในรัฐแคลิฟอร์เนีย และยังเป็นประธานโครงการ A2MEND มองว่า มหาวิทยาลัยต่าง ๆ ควรว่าจ้างอาจารย์ผิวดำให้มากขึ้น
ข้อมูลจากศูนย์สถิติ National Center for Education Statistics (NCES) ชี้ว่า โดยเฉลี่ยแล้ว คณาจารย์ในมหาวิทยาลัยอเมริกันมีคนผิวดำในสัดส่วนเพียง 7% ซึ่งสูงกว่าที่ Moorpark ซึ่งมีสัดส่วนอาจารย์ที่เป็นคนผิวสีที่เพียง 2% ขณะที่ ในภาพรวมนั้น ประชากรสหรัฐฯ เป็นคนผิวดำในสัดส่วน 13.6%
อีกหนึ่งตัวอย่าง คือ Montclair State University ในรัฐนิวเจอร์ซี ที่ได้ดึงดูดนักศึกษาชายจากชุมชนต่าง ๆ ในรัฐนั้นด้วยวิธีที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการติวหนังสือ การให้คำปรึกษา การจัดหาอาหารให้ และวิธีอื่นๆ ที่คิดว่า นักศึกษามีความต้องการ
แดเนียล จีน ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายโปรแกรมพิเศษ ของ Montclair State University ระบุว่า หลายชุมชนยังคงเชื่อว่าผู้ชายไม่ต้องเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยก็ได้ พร้อมชี้ว่า ปัญหาสภาพแวดล้อมที่ต่อต้านการเรียนรู้นั้นก็เลวร้ายลงเรื่อย ๆ เพราะความบกพร่องของนิยามความเป็นชายนั่นเอง
วอห์น สมิธ จูเนียร์ นักศึกษาชายผิวดำวัย 23 ปี จาก Montclair State University เล่าว่า เด็กชายและผู้ชายในแถบที่คนมีฐานะยากจนอาจให้ความสนใจกับสิ่งอื่นมากกว่าการวางแผนเรียนต่อในมหาวิทยาลัย และแม้ว่าบางคนจะเข้าศึกษาต่อ แต่มีจำนวนไม่น้อยได้หลุดออกจากระบบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
- ที่มา: วีโอเอ