Your browser doesn’t support HTML5
การแข่งขันเพื่อชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคอนุรักษ์นิยมและตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอังกฤษคนใหม่ แทนนายกฯ เดวิด แคเมอร่อน เริ่มขึ้นแล้วในวันพฤหัสบดี โดยมีผู้สมัครหลายคนที่เริ่มประกาศนโยบายรับมือกับผลกระทบจากการที่อังกฤษแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป หรือ Brexit
อย่างไรก็ตาม นาย บอริส จอห์นสัน ผู้มีบทบาทสำคัญในการรณรงค์ให้อังกฤษแยกออกจาก EU ยืนยันว่าจะไม่แข่งขันชิงตำแหน่งผู้นำพรรคอนุรักษ์นิยมในครั้งนี้
การที่นายบอริส จอห์นสัน อดีตนายกเทศมนตรีกรุงลอนดอน และผู้มีบทบาทสำคัญในการรณรงค์ให้อังกฤษแยกออกจาก EU ออกมาประกาศว่าจะไม่แข่งขันชิงตำแหน่งผู้นำพรรคอนุรักษ์นิยม ได้ก่อให้เกิดความแปลกใจอย่างยิ่งต่อผู้ที่ติดตามการเมืองอังกฤษ และทำให้บรรดาหนังสือพิมพ์แนวแท็บลอยด์ที่ชอบเสนอข่าวที่เต็มไปด้วยสีสันของนายบอริส จอห์นสัน ต่างผิดหวังไปตามๆกัน
นายจอห์นสันกล่าวว่า หน้าที่ของตนจากนี้คือการสนับสนุนผู้นำพรรคอนุรักษ์นิยมคนใหม่ให้เดินหน้าทำตามที่รับปากกับประชาชนเอาไว้ก่อนการลงประชามติ
สมาชิกพรรคอนุรักษ์นิยมบางคนกล่าวกับ VOA ว่า สาเหตุหนึ่งที่อาจมีส่วนต่อการตัดสินใจของนายบอริส จอห์นสัน ในครั้งนี้ คืออีเมล์ลับที่ภรรยาของรัฐมนตรียุติธรรมอังกฤษ นายไมเคิ่ล โกว์ฟ ส่งให้สามี ซึ่งระบุถึงความไม่ไว้ใจซึ่งกันและกันระหว่างนายจอห์นสัน กับ รมต.โกว์ฟ ซึ่งต่างร่วมรณรงค์ให้อังกฤษออกจาก EU จน รมต.โกว์ฟ ได้ออกมาประกาศไม่รับตำแหน่งผู้นำพรรคไปแล้วก่อนหน้านี้
หลังการถอนตัวล่าสุดของนายบอริส จอห์นสัน สายตาของชาวอังกฤษจึงจับจ้องไปที่ รมต.มหาดไทย เธเรซ่า เมย์ ผู้ที่หลายคนบอกว่าทำให้นึกถึงอดีตนายกรัฐมนตรีหญิงแกร่งของอังกฤษ นางมาร์กาเร็ต แธตเชอร์
ที่ผ่านมา รมต.เมย์ วางตัวเป็นคนกลางที่สามารถเชื่อมรอยร้าวของฝ่ายที่สนับสนุนให้อังกฤษแยกออกจาก EU หรือ “Leave” กับฝ่ายที่ต้องการให้อยู่กับ EU ต่อไปหรือ “Remain” ด้วยบุคลิกที่มั่นใจและพูดจาเต็มไปด้วยหลักการน่าเชื่อถือ
ก่อนการลงประชามติ รมต.หญิงผู้นี้ออกมาสนับสนุนฝ่าย Remain แต่เมื่อทราบผล เธอก็ออกมายอมรับผลการออกเสียงของประชาชนแต่โดยดี พร้อมยืนยันว่าอังกฤษควรออกจาก EU ดังที่ประชาชนส่วนใหญ่ต้องการ โดยไม่จำเป็นต้องมีการลงประชามติรอบสองอีกต่อไป
รมต.เธเรซ่า เมย์ ยังยืนยันด้วยว่า เมื่ออังกฤษแยกตัวออกมาแล้ว การจะทำข้อตกลงการค้าระหว่างอังกฤษกับสหภาพยุโรปในอนาคต จะต้องไม่มีประเด็นเรื่องเสรีภาพในการโยกย้ายแรงงานรวมอยู่ด้วย ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่ผู้นำสหภาพยุโรปกำหนดไว้ หากอังกฤษต้องการทำข้อตกลงการค้ากับ EU
ในส่วนของคู่แข่งพรรคอนุรักษ์นิยม คือพรรคแรงงาน ก็กำลังวุ่นวายเช่นกัน เมื่อสมาชิกพรรคแรงงานส่วนใหญ่ต่างลงชื่อเรียกร้องให้ผู้นำพรรค นายเจเรมี คอร์บิน ลาออก เพื่อแสดงความรับผิดชอบที่พรรคแรงงานไม่สามารถสนับสนุนให้ฝ่าย Remain มีชัยชนะในการลงประชามติได้ พร้อมเรียกร้องให้มีการปฏิรูปพรรคแรงงานเสียใหม่
อย่างไรก็ตาม นายคอร์บินยังคงแข็งขืนแม้จะถูกลงมติไม่ไว้วางใจเมื่อต้นสัปดาห์นี้ ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า หากเขายังกุมเก้าอี้ไว้ไม่ยอมปล่อย พรรคแรงงานอาจพ่ายแพ้อย่างถล่มทลายในการเลือกตั้งครั้งหน้า
และในขณะที่ศึกการเมืองภายในกำลังร้อนแรง อังกฤษก็ยังต้องเผชิญกับการเมืองภายนอกประเทศ หลังจากเมื่อวานนี้ บรรดาสมาชิกสหภาพยุโรป 27 ประเทศที่เหลือได้ร่วมลงนามในแถลงการณ์ซึ่งจะทำให้ยากขึ้นที่อังกฤษจะเข้าถึงตลาดในสหภาพยุโรปเมื่อแยกตัวออกไปแล้ว
ขณะที่ฝรั่งเศสก็กำลังพยายามผลักดันให้กรุงปารีสกลายเป็นศูนย์กลางการเงินของยุโรปแทนกรุงลอนดอน ด้วยการเสนอให้กำหนดกฎเกณฑ์ใหม่ซึ่งกีดกันการทำธุรกรรมของธนาคารในอังกฤษมากขึ้นเช่นกัน
(ผู้สื่อข่าว Jamie Dettmer รายงานจากกรุงลอนดอน / ทรงพจน์ สุภาผล เรียบเรียง)