ประเมินผลงานไบเดน 100 วันเเรก-ทำได้ตามสัญญา หรือยังต้องรออีกนาน?

FILE - In this April 8, 2021, file photo President Joe Biden speaks about gun violence prevention in the Rose Garden at the White House in Washington. Biden released a $1.5 trillion wish list for the federal budget on Friday, asking for an 8.4%…

Your browser doesn’t support HTML5

Biden's First 100 Days in Office


ในวันพฤหัสบดี สัปดาห์นี้ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน จะดำรงตำแหน่งเป็นผู้นำสหรัฐฯ ครบหนึ่งร้อยวัน ซึ่งภายใต้การบริหารงานกว่าสามเดือนที่ผ่านมามีหลายเรื่องที่เขาสามารถทำได้ตามสัญญาที่เคยให้ไว้กับประชาชนช่วงการเลือกตั้ง แต่มีบางประเด็นที่ยังทำไม่ได้ตามเป้าประสงค์

สิ่งที่เขาทำโดยทันทีในวันเเรกที่รับตำแหน่งคือการจรดปลายปากกาลงนามคำสั่งฝ่ายบริหาร และทำต่อเนื่องมาจนใกล้ถึงครบเวลา 100 วัน

ตั้งเเต่เริ่มรับตำแหน่งจนถึงกลางเดือนเมษายน ประธานาธิบดีโจ ไบเดนลงนามในคำสั่งและบันทึกช่วยจำฝ่ายบริหารไปเเล้ว 49 ฉบับ มากกว่าผู้นำคนก่อนเช่น โดนัลด์ ทรัมป์ และบารัค โอบามา ที่ลงนามเอกสารลักษณะเดียวกันไป 36 และ 34 ฉบับ ในระยะเวลาเท่าๆ กับไบเดน

การลงนามในคำสั่งและบันทึกช่วยจำฝ่ายบริหาร ในหลากหลายประเด็นเช่น เรื่องนโยบายคนเข้าเมือง และการปราบปรามความรุนเเรงจากความเกลียดชังชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชีย ถือเป็นการหยิบผลไม้ใกล้มือ เพราะทำได้โดยไม่ผ่านสภา

ที่ชัดเจนอย่างยิ่ง คือไบเดนใช้อำนาจส่วนนี้ ในความพยายามสร้างความเท่าเทียมกันในสังคม ทั้งเรื่องการต่อต้านการเหยียดผิว การเหยียดเพศ และช่วยเพิ่มโอกาสให้กับคนข้ามเพศในการทำงานในกองทัพอเมริกัน เป็นต้น

House Speaker Nancy Pelosi of Calif., left, and Senate Majority Leader Mitch McConnell of Ky., right, bump elbows as they attend a lunch with Irish Prime Minister Leo Varadkar on Capitol Hill in Washington, Thursday, March 12, 2020.

แต่หากเป็นเรื่องที่ต้องผ่านสภาคองเกรส ที่ต้องอาศัยการสนับสนุนจากทั้งพรรคเดโมเเครตในฝั่งของตน และรีพับลิกันฝ่ายที่ขับเคี่ยวกันมา โจ ไบเดน ไม่ประสบความสำเร็จเท่าใดนักตามสัญญาที่ว่าจะหาทางให้นักการเมืองทั้งสองพรรคทำงานร่วมกัน

ในการประเมินผลการทำงานรายประเด็น ผลงานของเขาเรื่องการดำเนินนโยบายเพื่อต้อสู้กับภาวะอากาศเปลี่ยนแปลงผิดธรรมชาติเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

กล่าวคือภายในช่วง 8 วันแรก ไบเดนประกาศให้สหรัฐฯ กลับเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของความตกลงปารีส เพื่อร่วมแก้ปัญหาสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงผิดธรรมชาติกับนานาประเทศ

เขายังได้ออกคำสั่งฝ่ายบริหารที่มีผลกระทบต่อการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น คำสั่งยุติโครงการท่อส่งทรัพยากรเชื้อเพลิง Keystone XL

และเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเขายังประกาศที่การประชุมสุดยอด Climate Summit ว่าสหรัฐฯ จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกร้อยละ 50 ใน 9 ปีจากนี้

แต่สำหรับนโยบายเรื่องการครอบครองปืน โจ ไบเดน ยังไม่สามารถสร้างการเปลี่ยนเเปลงได้มากนัก

ในเดือนเมษายน รัฐบาลของไบเดนประกาศร่างกฎหมายที่เสนอข้อบังคับสำหรับปืนที่ไม่มีเลขทะเบียนเพราะเจ้าของประกอบจากอะไหล่ขึ้นเองที่บ้าน

ก่อนหน้านี้ไบเดน สัญญาว่าจะส่งร่างกฎหมายเรื่องการครองปืนสู่สภา แต่กลับทำเพียงเเสดงการสนับสนุนมาตรการการตรวจสอบประวัติผู้ครองปืนและมาตรการการโอนความเป็นเจ้าของปืน ซึ่งทั้งสองเรื่องมีฝ่ายการเมืองในสภาผู้เเทนราษฎรเป็นเเกนนำ

ในส่วนของนโยบายที่ไบเดนสามารถทำได้ตามที่สัญญาอย่างรวดเร็ว คือประเด็นเกี่ยวกับโคโรนาไวรัส

President-elect Joe Biden receives his second dose of the coronavirus vaccine at ChristianaCare Christiana Hospital in Newark, Del., Jan. 11, 2021.

ในวันเเรกของการดำรงตำแหน่ง เขาเเจ้งต่อองค์การอนามัยโลกว่าสหรัฐฯ จะกลับไปเป็นสมาชิกอีกครั้ง และที่ผ่านมา เร่งมือในแผนฉีดวัคซีนให้กับประชาชนไปแล้ว 200 ล้านโดส มากกว่าเป้าหมายที่เคยตั้งไว้ถึงสองเท่า

อย่างไรก็ตาม คำมั่นที่จะให้โรงเรียนกลับมาเปิดได้ตามปกติอีกครั้งไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เพราะส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของหน่วยงานท้องถิ่น

ส่วนเรื่องนโยบายคนต่างด้าว โจ ไบเดนแก้ข้อห้ามของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เคยไม่อนุญาตคนจากบางประเทศเข้าสหรัฐฯ และแก้แนวทางของทรัมป์ที่ขยายหลักพิจารณาการเนรเทศคนกลับประเทศต้นทาง

ประธานาธิบดีไบเดน ยังส่งร่างกฎหมายที่เปิดทางให้ ผู้ที่เดินทางเข้าสหรัฐฯ ผิดกฎหมายขณะที่เป็นเยาชน ได้มีโอกาสได้สัญชาติอเมริกัน ตั้งเเต่ในเดือนเเรกของการดำรงตำแหน่ง

แม้ไบเดนพยายามสั่งให้ระงับการส่งคนกลับประเทศ แต่ความพยายามของเขาถูกสกัดโดยคำสั่งศาล นอกจากนี้เรื่องหนึ่งที่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จคือ การตั้งเป้ารับผู้ลี้ภัยเพิ่ม เป็น 62,500 คนในปีหน้า เเต่ความมุ่งหวังดังกล่าวก็ยังไม่มีข้อสรุป

FILE - An activist holds up a pro-refugee image during a demonstration outside of the U.S. Capitol in Washington, Oct. 15, 2019.