นายกรัฐมนตรี อเล็กซานเดอร์ ชาลเลนเบิร์ก ของออสเตรีย ประกาศในวันศุกร์ตามเวลาท้องถิ่นว่า รัฐบาลออสเตรียจะเริ่มมาตรการล็อกดาวน์ทั่วประเทศในวันจันทร์นี้ และกำหนดให้ทุกคนต้องรับวัคซีน ทำให้ออสเตรียเป็นประเทศแรกในยุโรปที่กลับมาใช้มาตรการควบคุมการระบาดของโรคโควิด-19 อย่างเข้มงวด ขณะที่ยอดผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้น
ผู้นำออสเตรียระบุว่า จะมีการประเมินมาตรการล็อกดาวน์ครั้งใหม่นี้หลังประกาศใช้แล้ว 10 วัน และมาตรการดังกล่าวจะถูกบังคับใช้อย่างมากที่สุด 20 วัน โดยวันสุดท้ายคือวันที่ 13 ธันวาคม
นายชาลเลนเบิร์ก ยังประกาศด้วยว่า การฉีดวัคซีนต้านโรคโควิด-19 จะเป็นมาตรการจำเป็น เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์
ภายใต้มาตรการล็อกดาวน์ครั้งนี้จะมีการประกาศเคอร์ฟิวทั้งวันทั่วประเทศ แต่ยังคงให้โรงเรียนและสถานอนุบาลเปิดทำการเรียนการสอน ขณะที่ ประชาชนจะสามารถออกนอกบ้านเพื่อทำงาน เรียน หรือเพื่อธุระพื้นฐานที่จำเป็นเท่านั้น เช่น ออกกำลังกาย หรือต้องออกจากบ้าน หากการอยู่บ้านทำให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพหรือทรัพย์สิน
นายกรัฐมนตรีออสเตรียระบุว่า การเพิ่มอัตราการฉีดวัคซีนเป็นวิธีเดียวที่จะออกจากวงจรการระบาดและการใช้มาตรการล็อกดาวน์ได้ และไม่มีใครต้องการให้มีการระบาดระลอกที่ห้า หก หรือเจ็ดอีกต่อไป
นายชาลเลนเบิร์กระบุว่า เขาเข้าใจว่า ชาวออสเตรียจำนวนมากฉีดวัคซีนแล้ว แต่ยังคงต้องเผชิญกับมาตรการล็อกดาวน์ โดยเขากล่าวว่าเป็นความผิดของ “ผู้ที่ไม่ยอมให้ความร่วมมือจำนวนมากเกินไป”
นายกรัฐมนตรีออสเตรียกล่าวต่อว่า รัฐบาลยังคงเชิญชวนให้ผู้คนฉีดวัคซีนได้เป็นจำนวนไม่มากพอ โดยตัวเลขล่าสุดจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของยุโรประบุว่า ประชากรออสเตรียร้อยละ 64.1 ฉีดวัคซีนครบแล้ว
ผู้นำออสเตรียแสดงความไม่พอใจต่อโครงการต่อต้านวัคซีนที่เผยแพร่ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับวัคซีน หรือสนับสนุนวิธีการรักษาโรคโควิด-19 ที่ผิด โดยเขาระบุว่า กลุ่มการเมืองบางกลุ่ม “ไม่มีความรับผิดชอบ” เป็นผู้ฉวยโอกาสจากภาวะโรคระบาดในการสร้างความแตกแยกในสังคม และไม่ให้ความสำคัญต่อสุขภาพของประชาชน
ขณะเดียวกัน ประเทศอื่นๆ ในยุโรปต่างยกระดับมาตรการของตน ในขณะที่โรคโควิด-19 ระบาดทั่วทวีปอีกระลอก โดยเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ฮังการี ประเทศเพื่อนบ้านของออสเตรีย ประกาศว่าจะเริ่มใช้มาตรการบังคับใส่หน้ากากในอาคาร เริ่มตั้งแต่วันเสาร์นี้
(ข้อมูลบางส่วนจากสำนักข่าว The Associated Press สำนักข่าว Reuters และสำนักข่าว Agence France-Presse)