ชาวนิวซีแลนด์นับพันคนออกมารวมตัวกันในวันอังคาร ที่หน้าอาคารรัฐสภาในกรุงเวลลิงตัน เพื่อประท้วงคำสั่งรัฐบาลที่บังคับให้มีการฉีดวัคซีนโควิด-19 และการดำเนินมาตรการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมการระบาดของโคโรนาไวรัส
รายงานข่าวระบุว่า ประชาชราว 2,000-3,000 คน เดินเท้าผ่านเขตใจกลางเมืองหลวงของประเทศพร้อมชูป้ายที่แสดงข้อความต่อต้านคำสั่งการบังคับฉีดวัคซีน รวมทั้งโบกธงหาเสียงของอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ไปพร้อมๆ กันด้วย
เจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงได้สั่งปิดทางเข้าบริเวณอาคารรัฐสภาเกือบทุกช่องทาง รวมทั้งปิดพื้นที่อาคาร ‘รังผึ้ง’ (Beehive) อันมีชื่อเสียงของนิวซีแลนด์ ระหว่างที่เกิดการชุมนุมประท้วงด้วย
นายกรัฐมนตรี จาซินดา อาร์เดิร์น บอกกับผู้สื่อข่าวที่ประจำอยู่ภายในอาคารรัฐสภาว่า “สิ่งที่เราทุกคนเห็นอยู่ในวันนี้ ไม่ได้เป็นตัวแทนของคนส่วนใหญ่ของนิวซีแลนด์เลย”
นับตั้งแต่เกิดการระบาดใหญ่ทั่วโลกของโควิด-19 มา นิวซีแลนด์ ซึ่งมีประชากรราว 5 ล้านคน ได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีความสามารถดีที่สุดในการจัดการควบคุมการระบาดของโคโรนาไวรัส เนื่องจากรัฐบาลกรุงเวลลิงตันสั่งปิดพรมแดนทั้งหมดของตนสำหรับชาวต่างชาติ เกือบตลอดช่วงเวลา 18 เดือนที่ผ่านมา
ทั้งนี้ อาจกล่าวได้ว่า กลยุทธ์กำจัดโควิด-19 ส่วนใหญ่ของนิวซีแลนด์นั้นมีประสิทธิผลดี ดังที่พิสูจน์ด้วยตัวเลขผู้เสียชีวิตสะสมที่ 28 ราย ซึ่งทำให้ประชาชนในพื้นที่เกือบทั่วประเทศสามารถกลับมาใช้ชีวิตตามปกติตั้งแต่เมื่อช่วงต้นปีนี้แล้ว
แต่สถานการณ์ในนิวซีแลนด์กลับมีความรุนแรงขึ้น เนื่องจากการระบาดของเชื้อไวรัสสายพันธุ์เดลตาเมื่อเดือนสิงหาคม ที่ทำให้นายกรัฐมนตรี อาร์เดิร์น ตัดสินใจสั่งดำเนินมาตรการล็อกดาวน์รอบใหม่ในนครโอ๊คแลนด์ ซึ่งเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศ รวมทั้งพื้นที่เมืองอื่นๆ ด้วย ทั้งยังทำให้ผู้นำนิวซีแลนด์ต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์กำจัดโควิด-19 ให้สิ้นซาก มาเป็นการควบคุมการระบาดด้วยโครงการฉีดวัคซีนให้กับคนจำนวนมากแทน
รัฐบาลกรุงเวลลิงตันประกาศเป้าหมายใหม่ให้แพทย์ เภสัชกร พยาบาล และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขทั่วประเทศต้องได้รับวัคซีนครบโดสภายในเดือนธันวาคม และกำหนดเป้าหมายเดียวกันนี้สำหรับครูและผู้ที่อยู่ในแวดวงการเรียนการสอนในเดือนมกราคมด้วย
นอกจากนั้น รัฐบาลยังเริ่มดำเนินการระบบ “ไฟสัญญาณจราจร” ใหม่ ที่จะช่วยผ่อนคลายมาตรการจำกัดต่างๆ เกือบทั้งหมด ทันทีที่ประชากรสัดส่วน 90% ในพื้นที่หนึ่งๆ ได้รับวัคซีนโควิด-19 ครบโดสแล้ว
เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรี อาร์เดิร์น ประกาศว่า จะยุติการล็อกดาวน์ในนครโอ๊คแลนด์ในสิ้นเดือนพฤศจิกายน โดยจะเริ่มค่อยๆ ผ่อนคลายมาตรการบางอย่างตั้งแต่วันอังคารแล้ว เนื่องจากสัดส่วนการฉีดวัคซีนของประชากรในเมืองใกล้แตะระดับ 90% แล้ว
ขณะเดียวกัน ทางการสิงคโปร์ประกาศเมื่อวันจันทร์ว่า รัฐบาลจะไม่รับผิดชอบค่าใช้จ่ายการรักษาที่เกี่ยวกับอาการป่วยโควิด-19 สำหรับผู้ที่ “เลือกจะไม่ฉีดวัคซีนเอง” ตั้งแต่วันที่ 8 ธันวาคมเป็นต้นไป แต่จะยังคงดูแลค่าใช้จ่ายด้านนี้สำหรับผู้ป่วยที่ได้รับวัคซีน 1 เข็มแล้ว ไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม
ที่ผ่านมา สิงคโปร์เป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายด้านการรักษาสำหรับชาวสิงคโปร์ และชาวต่างชาติที่มีถิ่นพำนักถาวร รวมทั้งผู้ในสิงคโปร์ทุกคนที่ติดเชื้อโคโรนาไวรัส ยกเว้นแต่กรณีของผู้ที่มีผลตรวจการติดเชื้อเป็นบวกหลังเพิ่งเดินทางกลับมาจากต่างประเทศ
แต่ปัจจุบัน สิงคโปร์กำลังเผชิญกับอัตราการติดเชื้อพุ่งสูงที่สร้างแรงกดดันให้กับระบบสาธารณสุขของประเทศพอควร แม้ว่า ราว 85% ของประชาชนผู้มีสิทธิ์นั้นจะได้รับวัคซีนครบโดสแล้วก็ตาม