ผลการสำรวจความคิดเห็นประชาชนชาวอเมริกันชิ้นใหม่แสดงให้เห็นว่า คนจำนวนมากไม่ได้กังวลเกี่ยวกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และไม่ได้คิดว่าตนมีส่วนร่วมในการสร้างวิกฤตด้านภูมิอากาศสักเท่าใด แม้ว่าคนส่วนใหญ่เชื่อว่า ขณะนี้โลกของเรากำลังเผชิญกับปัญหาภาวะโลกร้อนอยู่ก็ตาม
การสำรวจความคิดเห็นประชาชนในเดือนมิถุนายนโดย AP-NORC Center for Public Affairs Research แสดงให้เห็นว่า ชาวอเมริกันวัยผู้ใหญ่ส่วนใหญ่คิดว่า รัฐบาลและบริษัทต่าง ๆ คือ ผู้ที่มีความรับผิดชอบหลักในการจัดการกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ
การสอบถามความเห็นประชาชนในสหรัฐฯ เกี่ยวกับเรื่องนี้เกิดขึ้นก่อนที่สภาคองเกรสจะผ่านร่างกฎหมายใหม่ที่มีชื่อว่า Inflation Reduction Act เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยกฎหมายนี้มีเนื้อหาสำคัญหลายอย่าง ซึ่งรวมถึง การลงทุนเป็นเงินเกือบ 375,000 ล้านดอลลาร์ในยุทธศาสตร์จัดการกับปัญหาด้านภูมิอากาศในช่วง 10 ปีข้างหน้า
ผลการสำรวจนี้ระบุว่า ผู้ตอบแบบสอบถามราว 35% กล่าวว่า พวกเขารู้สึกกังวล “อย่างมากที่สุด” หรือ “อย่างมาก” เกี่ยวกับผลกระทบของสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงต่อชีวิตของตน โดยตัวเลขนี้เป็นการลดลงจากระดับ 44% ในการสำรวจเมื่อเดือนสิงหาคม ปี ค.ศ. 2019 ขณะที่ ราว 1 ใน 3 กล่าวว่า ตนมีความกังวลอยู่บ้าง
นอกจากนั้น มีเพียงครึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสอบถามครั้งนี้ที่ระบุว่า ตนมีส่วนสร้างผลกระทบต่อภาวะการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ แต่ในการสำรวจเมื่อปี 2019 มีคนราว 2 ใน 3 ที่เชื่อเช่นนั้น
รายงานการสำรวจนี้ยังพบว่า ชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน และผู้ที่มีเชื้อสายมาจากประเทศที่ใช้ภาษาสเปน รวมทั้งสตรีและผู้ที่สนับสนุนพรรคเดโมแครตนั้นมีแนวโน้มที่จะมีความกังวลอย่างมากเกี่ยวกับผลกระทบของภาวะโลกร้อนต่อตนเอง รวมทั้งเกี่ยวกับผลกระทบของวิถีการใช้ชีวิตของตนต่อสภาพภูมิอากาศ
นักวิทยาศาสตรด้านภูมิอากาศหลายรายบอกกับสำนักข่าวเอพีว่า การเปลี่ยนแปลงของตัวเลขทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่น่าห่วงมาก แต่ไม่น่าแปลกใจ เมื่อพิจารณาว่าแต่ละคนมีเรื่องต้องกังวลมากมายอยู่ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้านเศรษฐกิจและเงินเฟ้อพุ่งหลังจากเผชิญภาวะการระบาดใหญ่ของโควิด-19 มากกว่า 2 ปี
ในส่วนนี้ การสำรวจความคิดเห็นพบว่า จำนวนชาวอเมริกันที่มองว่าประเด็นการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องที่มีความสำคัญในลำดับต้น ๆ ลดลงจากการสอบถามเมื่อ 2-3 ปีก่อนด้วย
SEE ALSO: นักวิทย์ชี้ โลกมองข้าม ‘หายนะจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง’คิม คอบบ์ ผู้อำนวยการของ Institute at Brown University for Environment and Society บอกกับผู้สื่อข่าวว่า ในความเป็นจริง การแก้วิกฤตด้านสภาพภูมิอากาศนั้นจะต้องใช้หนทางทุกหนทางที่มีอยู่เพื่อจัดการกับสถานการณ์ต่าง ๆ แต่การจะให้คนทุกคนรู้สึกว่า ต้องทุ่มทุกสิ่งที่มีเพื่อแก้ปัญหานี้ ไม่ใช่เป็นสิ่งที่คนทั่วไปจะทำไหวและเป็นเรื่องที่เข้าใจได้
การสำรวจนี้ชี้ว่า ประมาณ 2 ใน 3 ของชาวอเมริกันมองว่า รัฐบาลกลางสหรัฐฯ ประเทศที่พัฒนาแล้วทั้งหลาย และบริษัทรวมทั้งอุตสาหกรรมต่าง ๆ มีความรับผิดชอบมากกว่าที่จะแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ขณะที่ 45% บอกว่า ความรับผิดชอบที่ว่าเป็นเรื่องของแต่ละบุคคลมากกว่า
ทั้งนี้ เอพี รายงานว่า ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากครัวเรือนต่าง ๆ ในสหรัฐฯ นั้นต่ำกว่าก๊าซที่ปล่อยโดยรถยนต์ รถบรรทุก และพาหนะขนส่งอื่น ๆ รวมทั้งจากกระบวนการผลิตไฟฟ้าและอุตสาหกรรมทั้งหลายด้วย
ขณะที่การศึกษาบ้านเรือนในสหรัฐฯ จำนวน 93 ล้านหลังโดยมหาวิทยาลัยแห่งมิชิแกน (University of Michigan) ชี้ว่า ประมาณ 20% ของก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมาในสหรัฐฯ นั้นมาจากการใช้พลังงานของภาคครัวเรือน โดยบ้านเรือนของผู้มีฐานะสูงนั้นเป็นส่วนที่ปล่อยก๊าซดังกล่าวออกมาประมาณ 25% มากกว่าบ้านเรือนของผู้ที่มีรายได้น้อยกว่า
ในส่วนของผู้ที่เชื่อในวิกฤตโลกร้อน ราว 70% กล่าวว่า ทุกคนจำเป็นที่จะต้องทำการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของตนอย่างหนักเพื่อต่อสู้กับปัญหานี้ และส่วนใหญ่คิดว่า แต่ละคนนั้นมีหน้าที่จะต้องร่วมรับผิดชอบบ้างไม่มากก็น้อย
ชาห์ซีน อัตตารี ซึ่งศึกษาพฤติกรรมมนุษย์และการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ที่มหาวิทยาลัยอินเดียนา (Indiana University) ให้ความเห็นว่า เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ว่า คน ๆ หนึ่งอาจคิดว่า ตนไม่ได้สร้างผลกระทบโดยตรงต่อภาวะโลกร้อน แต่ก็เชื่อว่า การที่คนในสังคมร่วมมือกันจัดการกับเรื่องนี้เป็นส่วนที่มีความสำคัญจริง ๆ
ผลการสำรวจล่าสุดแสดงให้เห็นว่า ชาวอเมริกัน 6 ใน 10 คน กล่าวว่า ตนได้ลดการขับขี่รถยนต์ ลดการใช้เครื่องทำความร้อนหรือเครื่องปรับอากาศ และเลือกซื้อสินค้ามือสองแทนที่จะเป็นของใหม่แล้ว ขณะที่ เกือบ 3 ใน 4 บอกว่า ได้เปลี่ยนมาใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าแบบที่ประหยัดพลังงานด้วย แต่คนส่วนใหญ่ของคนกลุ่มนี้ให้เหตุผลว่า ต้องการประหยัดเงิน มากกว่าจะช่วยเรื่องสิ่งแวดล้อม
โจนาธาน โฟลีย์ ผู้อำนวยการบริหารขององค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่ทำงานเกี่ยวกับปัญหาสภาพภูมิอากาศที่ชื่อ Project Drawdown ให้ความเห็นว่า ผลสำรวจของ AP-NORC ชี้ให้เห็นว่า การที่จะทำให้ชาวอเมริกันมีส่วนร่วมกับการต่อสู้ปัญหาสภาวะโลกร้อนควรเปลี่ยนจากการนำเสนอแนวคิดวันสิ้นโลกไปเป็นวิธีอื่น และเลือกใช้ผู้ส่งสารที่มีความหลากหลายกว่าที่เป็นมา รวมทั้งเน้นการนำเสนอว่า การแก้ไขปัญหานี้อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ชาวอเมริกันให้ความสำคัญอยู่แล้วอย่างไรบ้าง
- ที่มา: เอพี