ระบบธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ Federal Reserve (เฟด) ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.5% ในวันพุธ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 22 ปี และจะเริ่มลดการถือพันธบัตรลงในเดือนหน้า เพื่อแก้ปัญหาภาวะเงินเฟ้อในสหรัฐฯ ตามรายงานของรอยเตอร์
เจอโรม พาวเวลล์ ประธานคณะผู้ว่าการระบบธนาคารกลางสหรัฐฯ แถลงข่าวหลังการประชุมด้านนโยบายเป็นเวลาสองวันว่า เฟดยังไม่พิจารณาขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ในอนาคตอันใกล้นี้
ในขณะเดียวกัน เฟดจะเริ่มลดการถือพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ลงเพื่อลดยอดขาดดุลมูลค่าราว 9 ล้านล้านดอลลาร์ตั้งแต่เดือนหน้าเป็นต้นไป เป้าหมายเพื่อทำให้อัตราเงินเฟ้อลดลงมาอยู่ในระดับที่ควบคุมได้
พาวเวลล์ กล่าวว่า ตนและผู้บริหารของเฟดพยายามทำให้เสถียรภาพของราคาสินค้ากลับคืนมา ซึ่งการจะทำเช่นนนั้นได้จำเป้นต้องมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ซึ่งจะส่งผลกระทบระยะสั้นต่อประชาชนและเศรษฐกิจ แต่จะเป็นผลดีในระยะยาวเมื่อราคามีเสถียรภาพ
ประธานของเฟดยังกล่าวด้วยว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง และอยู่ในจุดที่ดีที่จะรับมือกับผลของอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นในคราวต่อ ๆ ไป
แถลงการณ์ของคณะกรรมาธิการกำกับดูแลตลาดเสรี ซึ่งเป็นผู้กำหนดอัตราดอกเบี้ยในสหรัฐฯ ระบุว่า "แม้มูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมของสหรัฐฯ ลดลงในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ แต่ปริมาณการใช้จ่ายของภาคครัวเรือนและการลงทุนแบบคงที่ของภาคธุรกิจยังคงแข็งแกร่ง เช่นเดียวกับตัวเลขการจ้างงานที่เพิ่มขึ้น"
อย่างไรก็ตาม แถลงการณ์เตือนว่าอัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูง สืบเนื่องจากสงครามในยูเครนและการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมการระบาดของโคโรนาไวรัสในประเทศจีน ทำให้ต้องมีการจับตามองความเสี่ยงของเงินเฟ้ออย่างใกล้ชิด
- ที่มา: รอยเตอร์