เมื่อวันอังคาร ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ทวีตข้อความตอบโต้คำปราศรัยของผู้นำเกาหลีเหนือ คิม จอง อึน ที่ว่าตนมีปุ่มกดยิงนิวเคลียร์อยู่บนโต๊ะทำงาน และสามารถโจมตีจุดใดก็ได้บนแผ่นดินใหญ่ของอเมริกา
โดย ปธน. ทรัมป์ ทวีตอ้างว่า ตนมีปุ่มนิวเคลียร์ที่ ”ใหญ่กว่า” และ ”ทรงพลัง” กว่าของเกาหลีเหนือ และสามารถทำงานได้จริง!
ในความเป็นจริง แต่ละประเทศที่มีอาวุธนิวเคลียร์ ล้วนแต่มีขั้นตอนของตนเองในการสั่งยิง หรือการอนุมัติให้โจมตีด้วยอาวุธนิวเคลียร์
สำหรับสหรัฐฯ นั้น การตัดสินใจให้โจมตีด้วยอาวุธนิวเคลียร์เป็นอำนาจสิทธิ์ขาดของประธานาธิบดี และเป็นกระบวนการที่ค่อนข้างซับซ้อน
โดยเริ่มจากสิ่งที่เรียกว่า “Football” ซึ่งหมายถึงกระเป๋าหิ้วหนักราว 20 กิโลกรัม ที่บรรจุอุปกรณ์สื่อสารเข้ารหัสและคู่มือเป้าหมายต่างๆ ซึ่งสามารถสั่งโจมตีด้วยหัวรบนิวเคลียร์ 900 หัวของสหรัฐฯได้
โดยกระเป๋าใบนี้จะมีเจ้าหน้าที่ทหารผู้ติดตามประธานาธิบดีหิ้วอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าประธานาธิบดีจะอยู่ที่ไหนก็ตาม และประธานาธิบดีสหรัฐฯ ก็มีรหัสระบุตัวซึ่งพกติดตัวอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน
ซึ่งหากประธานาธิบดีสหรัฐฯ ตัดสินใจสั่งให้มีการโจมตีด้วยอาวุธนิวเคลียร์ ก็จะแจ้งรหัสระบุตัวนี้ต่อเจ้าหน้าที่ทหารผู้ติดตามเพื่อพิสูจน์ตนเอง
จากนั้นก็จะใช้อุปกรณ์สื่อสารเข้ารหัสในกระเป๋าส่งคำสั่งไปยังกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เพื่อส่งคำสั่งต่อไปยังกองบัญชาการยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ ในรัฐเนบราสก้า ซึ่งควบคุมหัวรบนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ อีกทอดหนึ่ง
ประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีสิทธิ์ขาดในการตัดสินใจสั่งโจมตีด้วยอาวุธนิวเคลียร์ด้วยตนเอง และไม่ต้องขออนุมัติจากใคร ไม่ว่าจะเป็นรัฐสภาหรือกองทัพ
และกระบวนการตัดสินใจสั่งให้โจมตีจากประธานาธิบดีถึงกระทรวงกลาโหม ไปจนถึงเจ้าหน้าที่ผู้ควบคุมอาวุธนิวเคลียร์ จะใช้เวลาเพียงราว 20 นาทีเท่านั้น
(ขั้นตอนการสั่งยิงนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ)
อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมไม่เห็นด้วยกับคำสั่งยิงอาวุธนิวเคลียร์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ก็มีอำนาจสั่งปลดและตั้งผู้ดำรงตำแหน่งแทนได้
และเมื่อมีการยิงอาวุธนิวเคลียร์ออกไปแล้ว หัวรบดังกล่าวจะไม่สามารถยกเลิกหรือเรียกคืนได้แต่อย่างใด