ผู้บัญชาการ Revolutionary Guards อิหร่าน เตือนว่าฐานทัพสหรัฐฯ ในตะวันออกกลางเสี่ยงต่อการโจมตีด้วยขีปนาวุธ หากกรุงวอชิงตันออกมาตรการคว่ำบาตรชุดใหม่ต่ออิหร่าน
คำขู่ของผู้บัญชาการกองทัพผู้พิทักษ์การปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่าน หรือ Revolutionary Guards มีขึ้นในขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ กำลังเตรียมประกาศในอีกไม่กี่วันข้างหน้าว่า อิหร่านไม่ปฏิบัติตามกรอบข้อตกลงนานาชาติปี 2015 เพื่อควบคุมโครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่าน
โดยผู้นำสหรัฐฯ ให้เวลาสภาคองเกรสของสหรัฐฯ อีก 60 วัน ในการตัดสินใจว่าจะคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจรอบใหม่ต่ออิหร่านหรือไม่
กองทัพผู้พิทักษ์การปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่าน เป็นส่วนหนึ่งของกองทัพสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน และอยู่ภายใต้การบริหารจัดการของกระทรวงกลาโหมนำโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
สื่อมวลชนของรัฐบาลอิหร่านได้รายงานคำกล่าวของผู้บัญชาการกองทัพผู้พิทักษ์การปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่าน พลเอก Mohammad Ali Jafari ที่เตือนเมื่อวันอาทิตย์ว่า หากมีมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจรอบใหม่ต่ออิหร่าน สหรัฐฯ จะต้องย้ายฐานทัพระดับภูมิภาคทั้งหมดให้ออกไปอยู่นอกพิสัยของขีปนาวุธของอิหร่านที่ 2,000 กิโลเมตร
ฐานทัพสหรัฐฯ ในระดับภูมิภาคตะวันออกกลาง ตั้งอยู่ในบาห์เรน อิรัก โอมาน และอัฟกานิสถาน โดยทั้งหมดตั้งอยู่ในระยะ 500 กิโลเมตรจากชายแดนของอิหร่าน
พลเอก Jafari ได้ปฏิเสธการเจรจากับสหรัฐฯ ในประเด็นต่างๆ ในภูมิภาค และกล่าวว่า หากสหรัฐฯ ประกาศว่ากองทัพผู้พิทักษ์การปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่านเป็นกลุ่มก่อการร้าย ทางกรุงเตหะรานก็จะพิจารณาว่ากองทัพสหรัฐฯ เป็นกลุ่มก่อการร้ายเช่นกัน
พลเอก Jafari กล่าวว่า หากข่าวที่ได้รับถูกต้อง เกี่ยวกับความโง่เขลาของรัฐบาลสหรัฐฯ ในการพิจารณาว่ากองทัพผู้พิทักษ์การปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่านเป็นกลุ่มก่อการร้าย ทางอิหร่านก็จะถือว่ากองทัพสหรัฐฯ ก็เหมือนกับกลุ่มก่อตั้งรัฐอิสลามหรือ IS ทั่วโลก โดยเฉพาะในตะวันออกกลาง
พลเอก Jafari กล่าวว่า มาตรการคว่ำบาตรรอบใหม่ของสหรัฐฯ ต่ออิหร่านจะนำมาซึ่งจุดจบอย่างถาวร แก่โอกาสที่จะร่วมมือกันระหว่างกรุงวอชิงตันกับกรุงเตหะราน
ด้านประธานาธิบดีทรัมป์ กล่าวเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาขณะประชุมกับบรรดาผู้นำกองทัพของสหรัฐฯ ว่าอิหร่านล้มเหลวที่จะปฏิบัติตามข้อตกลงยุติโครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ที่อิหร่านตกลงกับสหรัฐฯ ฝรั่งเศส สหราชอาณาจักร เยอรมนี จีนและรัสเซีย เพื่อแลกกับการลดหย่อนมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่ออิหร่าน
ทรัมป์กล่าวว่า รัฐบาลอิหร่านสนับสนุนการก่อการร้ายและสร้างความรุนแรงกับความวุ่นวายไปทั่วตะวันออกกลาง และนี่เป็นเหตุให้สหรัฐฯ ต้องยุติความก้าวร้าวและความพยายามพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่าน
ในตอนหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อปีที่แล้ว ทรัมป์สัญญาว่าจะถอนสหรัฐฯ ออกจากข้อตกลงด้านอาวุธนิวเคลียร์กับอิหร่าน แต่มาถึงขณะนี้ ดูเหมือนว่าทรัมป์พยายามแสดงจุดยืนที่สร้างความรำคาญใจแก่อิหร่านมากขึ้น ด้วยการปฏิเสธไม่ลงนามรับรองว่าอิหร่านได้ปฏิบัติตามข้อตกลงที่ทำไว้ เป็นครั้งที่สองแล้ว
และต่อมา ทรัมป์กลับโยนประเด็นที่ซับซ้อนเกี่ยวกับการปฏิบัติตามข้อตกลงนิวเคลียร์ของอิหร่านนี้ ไปให้กับสภาคองเกรสของสหรัฐฯ เป็นผู้ตัดสินใจว่าจะคว่ำบาตรต่ออิหร่านรอบใหม่หรือไม่
หน่วยงานนิวเคลียร์ของสหประชาชาติได้ประกาศว่า อิหร่านได้ปฏิบัติตามข้อตกลงนิวเคลียร์ที่ทำไว้ และอีก 5 ประเทศที่มีส่วนร่วมในข้อตกลงที่อายุ 2 ปีนี้กับอิหร่านได้แสดงจุดยืนแล้วว่า ไม่ประสงค์ที่จะเจรจารอบใหม่ในเรื่องนี้กับอิหร่าน
(เรียบเรียงโดยทักษิณา ข่ายแก้ว วีโอเอภาคภาษาไทยกรุงวอชิงตัน)