รัฐบาลสหรัฐฯ ส่งมอบความช่วยเหลือเพิ่มเติมให้กับไทยเพื่อรับมือกับการระบาดของโควิด-19 พร้อมประกาศส่งความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมจำนวนหลายสิบล้านดอลลาร์ให้กับเมียนมาด้วย
เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำสหประชาชาติ ลินดา โทมัส-กรีนฟิลด์ ซึ่งอยู่ระหว่างการเยือนประเทศไทย กล่าวในวันอังคารว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ขอส่งมอบความช่วยเหลือมูลค่า 5 ล้านดอลลาร์ให้กับไทยเพื่อสนับสนุนการดำเนินมาตรการควบคุมการระบาดของโควิด-19 พร้อมระบุว่า “การประกาศส่งมอบความช่วยเหลือโควิด-19 เพิ่มเติมวันนี้ ให้กับประเทศไทย จะช่วยสนับสนุนการทำงานของบุคลากรด้านสาธารณสุขในการฉีดวัคซีน และช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งด้านอุปทานโซ่วัคซีน เพื่อให้เข้าถึงประชากรที่มีความเสี่ยงที่สุดให้ได้”
ในระหว่างการเยือนศูนย์ฉีดวัคซีนในกรุงเทพฯ เอกอัครราชทูต โทมัส-กรีนฟิลด์ ยังกล่าวด้วยว่า บุคลากรทางการแพทย์ชาวอเมริกันยังทำงานเคียงข้างเจ้าหน้าที่สาธารณสุขของไทยในการต่อสู้กับไวรัสที่เลวร้ายนี้ด้วย ทั้งยังย้ำด้วยว่า “เชื้อโควิดนั้นไร้พรมแดน .. และไม่มีชาติหนึ่งชาติใดจะสามารถหยุดโรคระบาดใหญ่ได้โดยลำพัง .. การกำจัดเชื้อไวรัสนี้จะต้องใช้ความสามารถ ความเป็นผู้นำที่มีหลักการ และความร่วมมือของทุกชาติบนโลก”
ในส่วนของสถานการณ์ทั่วไปในประเทศไทยนั้น กลุ่มผู้ชุมนุมต่อต้านรัฐบาลออกมารวมตัวกันบนท้องถนนอีกครั้งในวันอังคาร เพื่อประณามความสามารถในการดำเนินมาตรการรับมือการระบาดใหญ่เป็นวงกว้างของโควิด-19 โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าควบคุมสถานการณ์ด้วยการฉีดน้ำเข้าใส่ผู้ประท้วง ตามรายงานของสำนักข่าว รอยเตอร์
ขณะเดียวกัน กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เปิดเผยแผนช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมมูลค่ากว่า 50 ล้านดอลลาร์ ในวันอังคารตามเวลาท้องถิ่น โดย เน็ด ไพรซ์ โฆษกกระทรวงฯ ระบุในแถลงการณ์ว่า “ความช่วยเหลือนี้จะส่งผลให้หุ้นส่วนต่างๆ ที่เป็นทั้งองค์กรระดับสากลและองค์กรนอกภาครัฐทั้งหลาย สามารถจัดหาความช่วยเหลือด้านอาหารกรณีฉุกเฉิน อุปกรณ์ช่วยชีวิต ที่พักพิง การให้บริการสาธารณสุขหลัก น้ำ การส่งเสริมสุขภาพ และบริการด้านสุขอนามัยต่าง ๆ แก่ประชากรกลุ่มเปราะบางจากเมียนมา ซึ่งรวมถึงผู้ที่ถูกบีบบังคับให้หนีภัยจากเหตุการใช้ความรุนแรงและการข่มเหงรังแกต่างๆ”
หลังเหตุรัฐประหารในเมียนมาเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ผู้ที่ต่อต้านรัฐบาลทหารได้ออกมาชุมนุมประท้วงอย่างต่อเนื่องและเกิดการปะทะรุนแรงระหว่างผู้ชุมนุมและเจ้าหน้าที่ความมั่นคง รวมทั้งการต่อสู้ระหว่างกองกำลังชนกลุ่มน้อยและกองทัพเมียนมาอย่าง ทั้งยังนำมาซึ่งสภาวะการขาดแคลนทั้งสินค้าและบริการที่เป็นสิ่งจำเป็นต่างๆ รวมทั้งทำให้คนจำนวนมากต้องลี้ภัยออกจากบ้านเรือนของตนเองด้วย