ผู้นำกลุ่มประเทศจี-7 ยืนยันว่า จะให้การสนับสนุนยูเครนตราบนานเท่านาน หลังรัสเซียส่งขีปนาวุธยิงถล่มเมืองต่าง ๆ ทั่วประเทศเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ตามรายงานของสำนักข่าวรอยเตอร์
หลังการประชุมกลุ่มจี-7 แบบออนไลน์ในวันอังคารที่ปธน.เซเลนสกีร้องขอให้จัดขึ้น มีการออกแถลงการณ์ร่วมที่ระบุว่า “เราจะเดินหน้าให้การสนับสนุนทางการเงิน ด้านมนุษยธรรม ทางทหาร ทางการทูต และทางกฎหมาย รวมทั้ง ขอยืนหยัดเคียงข้างยูเครนตราบนานเท่านาน” และว่า “เราได้ให้ความมั่นใจอีกครั้งต่อปธน.เซเลนสกีว่า เราไม่มุ่งมั่นและแน่วแน่ในคำสัญญาของเราที่จะส่งการสนับสนุนต่าง ๆ ที่ยูเครนต้องการเพื่อปกปักษ์รักษาอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของตน”
แถลงการณ์ร่วมฉบับนี้ยังประณามรัสเซียที่ยิงขีปนาวุธถล่มยูเครนด้วย โดยชี้ว่า การโจมตีพลเรือนนั้นถือเป็นอาชญากรรมสงคราม และระบุว่า “เราจะทำให้ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องรับผิดด้วย”
นอกจากนั้น แถลงการณ์กลุ่มจี-7 กล่าวว่า “เราขอตำหนิการยกระดับ(ความขัดแย้ง)ของรัสเซีย ที่รวมถึง การสั่งระดมพลสำรองและการใช้วาทะขู่เรื่องนิวเคลียร์ ซึ่งทำให้สันติภาพและความมั่นคงของโลกตกอยู่ในความเสี่ยง เราขอยืนยันอีกครั้งว่า หากมีการใช้อาวุธนิวเคลียร์ อาวุธชีวภาพ หรืออาวุธเคมีใด ๆ รัสเซียจะเผชิญกับผลลัพธ์อันร้ายแรง”
ปธน.เซเลนสกี ยังเรียกร้องให้พันธมิตรชาติตะวันตกดำเนินมาตรการลงโทษขั้นหนักขึ้นต่อภาคพลังงานของรัสเซีย เพื่อสกัดกั้นไม่ให้มอสโกหาเงินทุนมาสนับสนุนการทำสงคราม โดยชี้ว่า การลงโทษในส่วนนี้จะเป็นการตอบโต้การโจมตีของรัสเซียต่อ “ภาคพลังงานและความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศของเรา” ด้วย
ผู้นำยูเครนยังกล่าวด้วยว่า “การเดินหน้าขั้นตอนอย่างนั้นจะยิงทำให้เราเข้าใกล้สันติภาพมากขึ้น” และ “ทั้งหมดนี้จะยิ่งผลักดันให้รัฐผู้ก่อการร้ายให้คิดถึงสันติภาพ และการไม่ได้ประโยชน์จากสงคราม”
ปธน.ปูติน ซึ่งถูกแรงกดดันจากภายในประเทศให้ยกระดับการโจมตียูเครนหลังกองทัพมอสโกประสบความปราชัยต่อเนื่องเมื่อเร็ว ๆ นี้ สั่งให้มีการยิงขีปนาวุธโจมตีเพื่อเป็นการแก้แค้นต่อเหตุระเบิดที่ทำลายสะพานเชื่อมต่อแผ่นดินใหญ่กับคาบสมุทรไครเมีย โดยกรุงเคียฟและพันธมิตรทั้งหลายได้ออกมาประณามการยิงโจมตีครั้งนี้ที่พุ่งเป้าไปยังโครงสร้างพื้นฐานของพลเรือนเป็นหลัก และยังมีการยิงไปที่สวนสาธารณะและสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ รวมทั้งถนนหนทางในช่วงชั่วโมงเร่งด่วนด้วย
ขณะเดียวกันในวันอังคาร เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นของยูเครนเปิดเผยว่า ยังมีการยิงขีปนาวุธจากรัสเซียเข้ามาและทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 1 รายในเมืองซาปอริห์เชีย ซึ่งอยู่ทางใต้ของประเทศ และทำให้บางส่วนของเมืองลวิฟ ที่อยู่ทางตะวันตกไม่มีไฟฟ้าใช้แล้ว เช่นเดียวกับพื้นที่อื่น ๆ ที่ถูกโจมตีไปก่อนหน้านี้ซึ่งยังคงตกอยู่ในสภาพที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ ขณะที่ เสียงไซเรนเตือนการโจมตีทางอากาศยังคงดังไปทั่วยูเครนเป็นวันที่สอง
รายงานข่าวระบุว่า การโจมตีทางอากาศจากรัสเซียต่อเนื่องเป็นวันที่สองนั้นไม่รุนแรงเท่ากับในวันแรก ขณะที่ ดมิโทร คูเลบา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศยูเครนเปิดเผยว่า เป้าหมายการโจมตีหลัก ๆ คือ พื้นที่ผลิตและแจกจ่ายพลังงานของประเทศ เพื่อกดดันให้ชาวยูเครนอยู่ยากขึ้น
ผู้ว่าการเมืองมิโคลาอิฟ กล่าวด้วยว่า รัสเซียยิงขีปนาวุธออกมามากพอที่จะทำให้พลเรือนต้องย้ายเข้าไปอยู่ในที่หลบภัย และตั้งคำถามว่า “ถ้านี่ไม่ใช่การสร้างความหวาดกลัว แล้วมันคืออะไร”
ราวินา แชมดาซานี โฆษกของสำนักงานสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ บอกกับผู้สื่อข่าวในวันอังคารว่า การโจมตีของรัสเซียนั้น “อาจละเมิดหลักการการกระทำอันเป็นปฏิปักษ์ (Conduct of Hostilities) ภายใต้กฎหมายด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ” และ “การดำเนินการโจมตีอย่างจงใจต่อพลเรือนและสิ่งของที่เป็นของพลเรือน ซึ่งก็คือ สิ่งที่ไม่ได้เป็นของทหาร เทียบเท่ากับอาชญากรรมสงคราม”
ผู้ว่าการเมืองมิโคลาอิฟ กล่าวด้วยว่า รัสเซียยิงขีปนาวุธออกมามากพอที่จะทำให้พลเรือนต้องย้ายเข้าไปอยู่ในที่หลบภัย และตั้งคำถามว่า “ถ้านี่ไม่ใช่การสร้างความหวาดกลัว แล้วมันคืออะไร”
อย่างไรก็ดี ปธน.เซเลนสกี ที่ส่งแถลงการณ์ประจำวันมาจากพื้นที่ที่ถูกยิงถล่ม ในช่วงคืนวันจันทร์ว่า ยูเครนจะเดินหน้าสู้ต่อไป และว่า “เราจะทำทุกอย่างเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับกองทัพของเรา เราจะทำให้สนามรบเป็นที่ ๆ สร้างความเจ็บปวดให้กับศัตรูยิ่งขึ้นไปอีก”
ขณะเดียวกัน ปธน.ปูติน ร่วมประชุมกับ ชีค โมฮัมเหม็ด บิน ซาเยด อัล-นาห์ยาน ประธานาธิบดีซาอุดิอาระเบีย ซึ่งสื่อ WAM ของรัฐบาลกรุงริยาด ระบุว่า เป็นการหารือ “การลดระดับความตึงเครียดทางทหาร” ขณะที่ เครมลินเปิดเผยว่า ผู้นำรัสเซียจะพบกับ เรจิบ เทยิบ เออโดวาน ประธานาธิบดีตุรกี ที่เสนอตัวเป็นเจ้าภาพการเจรจาสันติภาพ ในวันพฤหัสบดีนี้ด้วย
- ที่มา: รอยเตอร์