ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวในวันพุธว่า สหรัฐมีทางเลือกหลายอย่างนอกจากการใช้กำลังทหารตอบโต้อิหร่าน โดยสหรัฐกล่าวหาอิหร่านว่าเป็นผู้ยิงจรวดและส่งโดรนติดอาวุธโจมตีแหล่งน้ำมันที่สำคัญของซาอุดิอาระเบียเมื่อวันเสาร์
คำกล่าวที่ว่านี้มีขึ้นหลังจากที่ผู้นำสหรัฐเปิดเผยว่าตนได้สั่งให้เพิ่มมาตรการลงโทษทางเศรษฐกิจต่ออิหร่านอีก และมอบให้นายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐ ไปดำเนินการและจะเปิดเผยรายละเอียดได้ภายในเวลา 48 ชั่วโมง
ขณะเดียวกัน นายไมค์ พอมพีโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐ ซึ่งอยู่ที่ซาอุดิอาระเบีย กล่าวหาอิหร่านว่าก่อสงครามจากการโจมตีแหล่งผลิตน้ำมันที่ว่านี้
โดยระหว่างการแถลงข่าว เจ้าหน้าที่ของซาอุดิอาระเบียได้นำซากจรวดและโดรนจำนวน 25 ชิ้นซึ่งระบุว่าเป็นของอิหร่านออกแสดง โฆษกกระทรวงกลาโหมของซาอุดิอาระเบียให้ข้อมูลด้วยว่า ทิศทางของการโจมตีนั้นมาจากทางเหนือซึ่งเป็นที่ตั้งของอิหร่าน ไม่ใช่จากทางใต้คือประเทศเยเมนซึ่งกลุ่มกบฏฮูตีมีฐานที่มั่นอยู่
อย่างไรก็ตาม กลุ่มกบฏฮูตีในเยเมนซึ่งอิหร่านเป็นผู้ให้ความสนับสนุน ได้ประกาศอ้างความรับผิดชอบสำหรับการโจมตีครั้งนี้ และได้กล่าวย้ำความรับผิดชอบอีกครั้งในวันพุธ
โฆษกของกลุ่มฮูตีขู่ด้วยว่า สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์อาจตกเป็นเป้าการโจมตีได้เนื่องจากประเทศดังกล่าวสนับสนุนปฏิบัติการทางทหารของซาอุดิอาระเบียในเยเมน
ทางด้านอิหร่านซึ่งเป็นคู่ปรับของซาอุดิอาระเบียในตะวันออกกลางในขณะนี้ ประธานาธิบดีฮัสซาน รูฮานี ของอิหร่าน กล่าวว่า กลุ่มกบฏฮูตีในเยเมนโจมตีซาอุดิอาระเบียเพื่อส่งสัญญาณเตือนเกี่ยวกับบทบาททางทหารของซาอุดิอาระเบียในเยเมน
และว่าการโจมตีแหล่งผลิตน้ำมันของซาอุดิอาระเบียโดยกลุ่มกบฏฮูตีนั้น ไม่ได้สร้างความเสียหายต่อโรงพยาบาล โรงเรียน หรือย่านธุรกิจของประชาชน เมื่อเปรียบเทียบกับการที่ซาอุดิอาระเบียถูกกลุ่มด้านสิทธิมนุษยชนตำหนิเรื่องการโจมตีทางอากาศในเยเมน ซึ่งสร้างผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อความเป็นอยู่ของผู้คนและทำให้เกิดวิกฤตด้านมนุษยธรรมอย่างร้ายแรง
นอกจากนั้นสื่อของทางการอิหร่านยังรายงานด้วยว่า รัฐบาลกรุงเตหะรานได้ส่งคำเตือนถึงสหรัฐ และปฏิเสธความเกี่ยวข้องใดๆ เรื่องการโจมตีแหล่งผลิตน้ำมันของซาอุดิอาระเบีย ทั้งยังเตือนด้วยว่าอิหร่านจะตอบโต้โดยทันทีหากสหรัฐตัดสินใจดำเนินการใดๆ กับอิหร่าน