สหรัฐฯพบหลักฐานเพิ่มเติมที่บ่งชี้ว่าเหตุโจมตีแหล่งน้ำมันซาอุดิอาระเบียเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น มีต้นตอมาจากอิหร่าน ตามการเปิดเผยของรอยเตอร์ส
รายงานของรอยเตอร์ส ที่อ้างข้อมูลของเจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐฯ หลายคน ระบุว่าการโจมตีแหล่งน้ำมัน ของบริษัท Saudi Aramco ของรัฐบาลซาอุดิอาระเบีย มาจากจรวดนำวิถีและอากาศยานไร้คนขับ หรือ โดรน มาจากทางตะวันตกเฉียงใต้ของอิหร่าน ซึ่งเป็นรูปแบบการโจมตีที่ซับซ้อนกว่าที่ประเมินในตอนแรก แต่ทางอิหร่านออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว
การโจมตีแหล่งน้ำมันด้วยจรวดที่ถูกยิงมาจากโดรน เกิดขึ้นเมื่อช่วงเช้าวันเสาร์ที่ผ่านมาตามเวลาท้องถิ่น ทำลายแหล่งผลิตน้ำมันสองแห่งของบริษัท Saudi Aramco ของรัฐบาลซาอุดิอาระเบีย ซึ่งเป็นผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ที่สุดในโลก ทำให้กำลังการผลิตน้ำมันดิบของซาอุดิอาระเบียลดลงราว 5.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน หรือเกือบ 6% ของปริมาณการผลิตน้ำมันดิบทั่วโลก ซึ่งก่อนหน้านี้ทางกลุ่มกบฎฮูตีในเยเมนได้ออกมากล่าวอ้างความรับผิดชอบในการโจมตีด้วยโดรนในครั้งนี้ เพื่อตอบโต้ที่ซาอุฯ โจมตีใส่กลุ่มฮูตีในเยเมนในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
แต่ข้อมูลล่าสุดจากทางการสหรัฐฯ สนับสนุนท่าทีของผู้นำสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่กล่าวเมื่อวันจันทร์ว่า ดูเหมือนว่าอิหร่าน ที่เคยมีประวัติบาดหมางกับซาอุดิอาระเบียมายาวนาน อาจอยู่เบื้องหลังเหตุโจมตีครั้งนี้ ทำให้ทางอยาตอลเลอาะห์ คาเมเนอี ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน ออกมา ปฏิเสธเจรจากับทุกระดับกับสหรัฐฯ เมื่อวันอังคาร หลังจากสหรัฐฯกล่าวโทษอิหร่านว่าอยู่เบื้องหลังเหตุโจมตีโรงกลั่นน้ำมันของซาอุดิอาระเบียช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
บรรดาประเทศผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่จากซาอุดิอาระเบีย ต่างออกมาเคลื่อนไหวด้วยการเตรียมนำปริมาณน้ำมันสำรองด้านยุทธศาสตร์ของประเทศออกมาใช้เพื่อรักษาเสถียรภาพของราคาน้ำมันแล้ว ขณะที่ทางซาอุดิอาระเบียให้ความเชื่อมั่นว่าจะสามารถกลับมาผลิตน้ำมันได้เต็มกำลังในช่วงปลายเดือนกันยายน