ในปีนี้การซ้อมรบระหว่างทหารอเมริกันกับกองทัพเกาหลีใต้ ที่เพิ่งเริ่มต้นไปในสัปดาห์นี้ จะมีผู้ร่วมฝึกจากฝ่ายสหรัฐฯ 23,000 คน และจากฝ่ายเกาหลีใต้ซึ่งเป็นเจ้าภาพ 300,000 คน
เนื่องจากการซ้อมรบนี้ ที่มีชื่อว่า Foal Eagle and Key Resolve เกิดขึ้นท่ามกลางการเตรียมประชุมสุดยอดเรื่องนิวเคลียร์ ระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ และนายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ สิ่งที่เกิดขึ้นภาคสนามจึงมีนัยสำคัญต่อการเจรจาของทั้งสองด้วย
ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจว่า เพื่อทำให้บรรยากาศผ่อนคลายลง การซ้อมรบครั้งนี้จึงลดรูปแบบการฝึกแบบปฏิบัติการจู่โจมที่มุ่งเป้าไปที่ชนชั้นปกครองของเกาหลีเหนือ โดยปฏิบัติการ Foal Eagle and Key Resolve จะเน้นไปที่การป้องกันตนเองมากกว่าในครั้งนี้
นอกจากนี้ คาดว่าสหรัฐฯ จะไม่ส่งเครื่องบินทิ้งระเบิด และเรือบรรทุกเครื่องบินร่วมซ้อมรบ และระยะเวลาการฝึกซ้อมยังสั้นกว่าครั้งก่อนๆ ถึงครึ่งหนึ่งด้วย
นักวิเคราะห์ โก เมียงฮุน จากสถาบัน Asian Institute for Policy Studies กล่าวว่า หากต้องการเห็นการปลดอาวุธนิวเคลียร์เกิดขึ้นในคาบสมุทรเกาหลี เกาหลีใต้ก็ควรที่จะลดทอนหรือล้มเลิกการซ้อมรบกับสหรัฐฯ ในอนาคตนั่นเอง
ผู้สันทัดกรณียังชี้ให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงจากฝั่งเกาหลีเหนือด้วย กล่าวคือ ในการพบกับเจ้าหน้าที่การทูตของเกาหลีใต้ไม่นานนี้ ผู้นำเกาหลีเหนือ นายคิม จอง อึน ไม่ออกโรงต้านการซ้อมรบร่วมของสหรัฐฯ และเกาหลีใต้ในครั้งนี้
ในอดีตรัฐบาลเปียงยางเคยกล่าวว่า การซ้อมรบของสองประเทศถือเป็นเป็นการซ้อมเพื่อบุกเกาหลีเหนือ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สิ่งที่นายคิม จอง อึน ต้องการเป็นเงื่อนไขต่อการลดทอนอาวุธนิวเคลียร์คือ การยุติการซ้อมรบระหว่างอเมริกาและเกาหลีใต้ในอนาคตนั่นเอง
ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของเกาหลีใต้ นาย ชุง อิวยัง กล่าวว่า เกาหลีเหนือแสดงให้เห็นประจักษ์ว่า หากไม่มีภัยคุกคามทางทหารต่อเกาหลีเหนือ ก็ไม่มีความจำเป็นที่รัฐบาลเปียงยางต้องพัฒนาโครงการนิวเคลียร์
นั่นทำให้ ขณะนี้ประธานาธิบดีมูน แจอิน ของเกาหลีใต้พยายามหาสมดุลระหว่างการรักษาความเป็นมิตรกับสหรัฐฯ และการสานสัมพันธ์กับรัฐบาลเปียงยาง
หรือแม้แต่ประธานาธิบดีทรัมป์เอง จากที่ผ่านมาซึ่งเคย สัญญาว่าจะใช้แรงกดดันขั้นสูงสุดต่อเกาหลีเหนือ ก็ได้แสดงให้เห็นว่าเขาสามารถยืดหยุ่นต่อเกาหลีเหนือได้ ด้วยการตอบรับการเจรจากับนายคิม จอง อึน และยอมลดระดับการซ้อมรบกับเกาหลีใต้
(รัตพล อ่อนสนิท เรียบเรียงจากรายงานของ Brian Padden จากกรุงโซล)