รายงานข่าวกรองฉบับล่าสุดจากอังกฤษที่ออกมาในวันอาทิตย์ระบุว่า ทั้งรัสเซียและยูเครนยังคงเดินหน้าต่อสู้อย่างหนักต่อไป ขณะที่ ต่างก็ประสบภาวะการสูญเสียสรรพกำลังอย่างหนักไปพร้อม ๆ กัน
การประเมินสถานการณ์ล่าสุดของกระทรวงกลาโหมอังกฤษชี้ว่า นักรบยูเครนกำลังพยายามขับไล่กองกำลังรัสเซียออกจากพื้นที่ของประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยฝ่ายรัสเซียนั้นน่าจะประสบปัญหาในการรบหนักที่สุดนับตั้งแต่เมื่อถูกโจมตีกลับหนักในสมรภูมิบาคห์มุตเมื่อเดือนมีนาคม
รายงานของอังกฤษระบุด้วยว่า พื้นที่ที่สถานการณ์การรบอยู่ในขั้นดุเดือดที่สุดในเวลานี้อยู่ที่เขตปกครองซาปอริซห์เชียทางตะวันออกเฉียงใต้ของยูเครน รวมทั้งรอบ ๆ บาคห์มุติและทางฝั่งตะวันตกของเขตปกครองดอแนตสก์ด้วย พร้อมเปิดเผยว่า กองกำลังยูเครน “รุกคืบไปได้เพียงเล็กน้อย” แต่กองกำลังรัสเซียก็เพียงแต่เน้น “ปฏิบัติการตั้งรับที่มีประสิทธิภาพพอสมควร” อยู่ในพื้นที่ตอนใต้ของยูเครน
ขณะเดียวกัน กองทัพยูเครนเปิดเผยรายงานอัพเดทการรบในช่วงเช้าวันอาทิตย์ว่า ในช่วง 24 ชั่วโมงก่อนหน้านั้น รัสเซียดำเนินการโจมตีทางอากาศใส่ยูเครนทั้งหมด 43 ครั้ง และยิงขีปนาวุธ 4 ลูก รวมทั้งยิงจรวดหลายลำกล้องเข้าใส่ถึง 51 ครั้งด้วย
ยูรี อิห์นาต โฆษกกองทัพอากาศยูเครน เปิดเผยในวันอาทิตย์ด้วยว่า กองกำลังยูเครนทำการโจมตีคลังกระสุนของรัสเซียในหมู่บ้านพาร์ตีซานี ในเขตปกครองเคอร์ซอน ทางใต้ของประเทศ ซึ่งอยู่ติดกับชายแดนเขตปกครองซาปอริซห์เชีย
ความพยายามเจรจาสันติ
เยนส์ สโตลเทนเบิร์ก เลขาธิการองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต้) เตือนว่า ความพยายามดำเนินการเจรจาสันติระหว่างยูเครนและรัสเซียนั้นจะต้องเกิดขึ้น “อย่างเป็นธรรม” เพื่อให้กระบวนการนี้เดินหน้าอย่างยั่งยืน พร้อมระบุระหว่างให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ เฟลต์ อัม ซอนถาก (Welt am Sontag) ของเยอรมนี ว่า “สันติภาพไม่อาจหมายความถึง การระงับความขัดแย้งและการยอมรับข้อตกลงที่เขียนโดยรัสเซีย”
ความเห็นของเลขาธิการนาโต้นี้มีออกมาหลังประธานาธิบดีซีริล รามาโพซา แห่งแอฟริกาใต้ กล่าวระหว่างการเยือนกรุงเคียฟเมื่อวันศุกร์ว่า “สันติภาพนั้นต้องได้มาจากหนทางการทูตโดยเร็วที่สุด”
สโตลเทนเบิร์กกล่าวด้วยว่า “มีแต่ยูเครนเท่านั้นที่จะให้คำจำกัดความของเงื่อนไขที่ฝ่ายตนยอมรับได้” เพื่อให้เกิดสันติภาพ และว่า “เราต้องทำให้แน่ใจว่า เมื่อสงครามนี้จบลง จะมีข้อตกลงอันน่าเชื่อถือเพื่อรับรองความมั่นคงของยูเครน เพื่อว่ารัสเซียจะไม่กลับมาจับอาวุธและโจมตีอีก และวัฏจักรของการรุกรานโดยรัสเซียนั้นมลายหายไปสิ้น”
ทั้งนี้ ผู้นำและตัวแทนจาก 7 ประเทศในแอฟริการ่วมคณะผู้แทนการเจรจาสันติภาพและเดินทางเยือนทั้งยูเครนและรัสเซียเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เพื่อผลักดันให้มีการเจรจายุติสงครามที่เดินหน้ามากว่า 15 เดือนนี้ แต่ทั้งหมดก็ต้องกลับบ้านมือเปล่า เพราะทั้งประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกีและประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินต่างปฏิเสธข้อเสนอแผนดังกล่าว
รายงานข่าวระบุว่า ปูติน ปฏิเสธแผนที่ระบุว่า รัสเซียต้องยอมรับเขตแดนของยูเครนที่ทั่วโลกยอมรับอยู่ พร้อมกล่าวว่า ยูเครนและพันธมิตรชาติตะวันตกทั้งหลายคือ ผู้ที่ต้องรับผิดชอบต่อเหตุความขัดแย้งที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ก่อนกองทัพมอสโกบุกยูเครนด้วยซ้ำ ขณะที่ เซเลนสกี กล่าวว่า การเจรจาสันติภาพนั้นจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อมีความชัดเจนว่า รัสเซียจะถอนกำลังทั้งหมดของตนออกจากอาณาเขตของยูเครน
เขื่อนคาคอฟกา
ตัวเลขผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์เขื่อนคาคอฟกาในยูเครนแตกเพิ่มขึ้นมาเป็น 16 คนแล้ว อ้างอิงจากรายงานของกระทรวงมหาดไทยของยูเครนที่ออกมาเมื่อช่วงค่ำวันเสาร์ ขณะที่ เจ้าหน้าที่รัสเซียกล่าวว่า มีประชาชน 29 คนจมน้ำเสียชีวิตในพื้นที่ยูเครนที่ฝ่ายตนยึดครองอยู่
ขณะเดียวกัน ประชาชนหลายพันคนต้องสูญเสียบ้านเรือนและเรือกสวนไร่นาของตนเพราะเหตุน้ำท่วมใหญ่ หลังเขื่อนดังกล่าวแตก
หนังสือพิมพ์ New York Times รายงานว่า “สาเหตุที่มีความเป็นไปได้สูงสุดของการแตกของเขื่อน” คือ การวางระเบิดไว้ที่เส้นทางเดินหรือเฉลียงของโครงสร้างเขื่อน “ซึ่งทอดยาวผ่านใจกลางของโครงสร้างที่ทำด้วยคอนกรีต”
การประเมินของหนังสือพิมพ์ฉบับนี้อ้างอิงความเห็นจาก “วิศวกรชาวอเมริกัน 2 ราย และผู้เชี่ยวชาญด้านระเบิด 1 รายและวิศวกรชาวยูเครน 1 รายที่มีประสบการณ์เกี่ยวกับการทำงานของเขื่อนมานานหลายปี”
ยูเครนกับการสมัครสมาชิกนาโต้
ประธานาธิบดีโจ ไบเดน กล่าวเมื่อวันเสาร์ว่า รัฐบาลชุดปัจจุบันของสหรัฐฯ จะ “ไม่ทำให้ทุกอย่างดูง่ายดาย” เพื่อให้ยูเครนเข้าร่วมนาโต้ หลังจากเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผู้นำสหรัฐฯ เพิ่งกล่าวว่า ตนยินดีที่จะยอมยกเว้นเงื่อนไขที่บังคับให้ยูเครต้องทำการปฏิรูปทางทหารและด้านประชาธิปไตยเช่นเดียวกับที่สมาชิกทุกประเทศเคยต้องปฏิบัติมาก่อนจะได้รับการพิจารณาเข้าเป็นสมาชิกกลุ่มพันธมิตรทางทหารนี้
เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว ปธน.ปูติน เตือนถึง “ภัยอันร้ายแรง” ที่นาโต้จะต้องเผชิญเมื่อเข้าร่วมศึกรัสเซีย-ยูเครนมากขึ้น โดยคำกล่าวนี้มีออกมาระหว่างการร่วมงานสัมมนา St. Petersburg International Economic Forum ที่เป็นเวทีส่งเสริมเศรษฐกิจรัสเซีย แม้ว่า ในเวลานี้ จะมีการดำเนินมาตรการลงโทษมากมายจากนานาชาติต่อมอสโก เพราะการรุกรานยูเครนก็ตาม
- ข้อมูลบางส่วนมาจาก เอพี เอเอฟพีและรอยเตอร์
