กองทัพสหรัฐฯ เปิดเผยว่า มีเจ้าหน้าที่ทหารรัสเซียไม่น้อยกว่า 100,000 นายที่เสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บในสงครามยูเครนที่ดำเนินมากว่า 8 เดือนนี้ ตามรายงานของสำนักข่าวเอพี
พลเอก มาร์ค มิลลีย์ ประธานคณะผู้บัญชาการเหล่าทัพร่วมสหรัฐฯ กล่าวในวันพุธว่า นอกจากตัวเลขการสูญเสียของฝ่ายกองทัพรัสเซียแล้ว พลเรือนชาวยูเครนราว 40,000 คน และทหารยูเครนราวแสนคนเช่นกัน เสียชีวิตหรือไม่ก็ได้รับบาดเจ็บจากการสู้รบที่ดำเนินมาตั้งแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์
ประธานคณะผู้บัญชาการเหล่าทัพร่วมสหรัฐฯ เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการสูญเสียนี่ในระหว่างเข้าร่วมการประชุมที่ The Economic Club of New York โดยกล่าวด้วยว่า “มีเหตุประสบทุกข์ได้ยากของผู้คนอย่างมหาศาล” จากสงครามครั้งนี้
อย่างไรก็ดี พลเอก มิลลีย์ กล่าวว่า การที่รัสเซียประกาศถอนกำลังออกจาเมืองเคอร์ซอนซึ่งเป็นเมืองหลวงของภูมิภาคทางใต้ของยูเครน และทิศทางการสู้รบที่น่าจะเข้าสู่ภาวะชะงักงันในช่วงฤดูหนาว อาจเปิดทางให้ทั้งสองประเทศพิจารณาร่วมโต๊ะเจรจาสันติภาพได้
เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี กล่าวว่า ตนเปิดรับแนวคิดที่จะเข้าร่วมการหารือกับรัสเซียเพื่อยุติสงครามและสร้างสันติภาพในภูมิภาค แต่มีเงื่อนไขก็คือ รัสเซียต้องส่งคืนดินแดนที่ตนยึดครองไปพร้อม ๆ กับชดเชยค่าเสียหายจากการก่อสงครามให้ยูเครน และเข้ารับการไต่สวนพิจารณาคดีก่ออาชญากรรมสงครามด้วย
ฝ่ายรัสเซียนั้นก็กล่าวไว้ว่า ตนพร้อมที่จะเจรจาเช่นกัน ก่อนที่จะประกาศแผนการถอนทัพในสัปดาห์นี้
อย่างไรก็ดี ปธน.เซเลนสกี เตือนว่า รัสเซียอาจเพียงแกล้งทำเหมือนจะถอนทหารออกจากเมืองเคอร์ซอน เพื่อหลอกล่อให้กองทัพยูเครนเข้าไปติดกับการสู้รบในพื้นที่เมืองท่าอุตสาหกรรมแห่งนี้ ซึ่งเป็นประตูสู่คาบสมุทรไครเมียที่รัสเซียผนวกเข้ากับตนเองตั้งแต่ปี ค.ศ. 2014
ทั้งนี้ พลเอก มิลลีย์ กล่าวว่า รัสเซียได้ส่งกำลังพล 20,000-30,000 นายเข้าไปในเมืองเคอร์ซอน ดังนั้น การถอนกำลังทั้งหมดออกมาน่าจะใช้เวลาหลายสัปดาห์ และระบุว่า “ตัวบ่งชี้ในขั้นแรกนี้คือ พวกเขา(รัสเซีย) กำลังเริ่มทำการดังกล่าว และประกาศต่อสาธารณะว่า ตนกำลังถอนทัพออก ผมเชื่อว่า พวกเขากำลังทำเช่นนั้นจริง เพื่อรักษากำลังของตนไปตั้งแนวรับที่ทางด้านใต้ของแม่น้ำ[ดนิโปร] แต่นั่นก็ยังเป็นเรื่องที่ต้องดูกันต่อไป”
แต่พลเอก มิลลีย์ ยอมรับว่า มีความเป็นไปได้ที่รัสเซียจะใช้การถอนทัพเป็นกลยุทธ์เพื่อจัดแถวรบเชิงรุกครั้งใหม่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ แต่ “ก็ยังมีโอกาส ณ ที่นี้ ที่จะมีการเจรจากันได้อยู่” เพียงแต่ว่า ทั้งรัสเซียและยูเครนจะต้อง “ต่างยอมรับ” ว่า ชัยชนะทางทหารนั้น “อาจเกิดขึ้นไม่ได้เพียงใช้วิธีการทางทหาร และดังนั้น คุณต้องลองหันไปหาหนทางอื่นดู” โดยเป็นการอ้างถึง สถานการณ์การสิ้นสุดของสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งจบลงเมื่อมีการเจรจาและการลงนามสัญญาสงบศึก
- ที่มา: เอพี