ยูเครนประกาศในวันพฤหัสบดีว่า กองกำลังของตนยึดคืนเมือง สนิฮูริฟกา ซึ่งอยู่ทางภาคใต้ของประเทศและเป็นเมืองสุดท้ายที่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัสเซียในเขตปกครองมิโคลาอิฟ โดยเมืองนี้ถือเป็นจุดยุทธศาสตร์จุดหนึ่งในการเปิดทางไปสู่เมืองเคอร์ซอน
สำนักข่าวรอยเตอร์เปิดเผยคลิปวิดีโอชิ้นหนึ่งซึ่งแสดงภาพของเจ้าหน้าที่ทหารยูเครนขณะกำลังตะโกนบอกกลุ่มพลเรือนที่กำลังปรบมือและส่งเสียงเชียร์ ว่า “วันนี้ วันที่ 10 พฤศจิกายน สนิฮูริฟกา ได้รับการปลดปล่อยโดยกองกำลังของกองพันข่าวกรองสกัดที่ 131 ... ไชโย ให้กับ ยูเครน!” โดยรอยเตอร์ได้ตรวจสอบจุดที่ตั้งที่มีการบันทึกคลิปวิดีโอชิ้นนี้แล้วแต่ไม่สามารถยืนยันวันที่มีการบันทึกได้ ขณะที่ สถานีโทรทัศน์ของยูเครนได้เผยแพร่ภาพจากคลิปนี้ออกไปแล้ว และมีผู้นำไปแชร์ต่อทางสื่อสังคมออนไลน์ด้วยเช่นกัน
เมื่อวันพุธที่ผ่านมา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศรัสเซียกล่าวว่า กองกำลังทหารมอสโกกำลังถอยทัพออกจากเมืองเคอร์ซอน แต่เจ้าหน้าที่ยูเครนยังแสดงความสงสัยเคลือบแคลงว่า รัสเซียกำลังทำการถอนทัพอย่างเต็มรูปแบบจากเมืองเพียงแห่งเดียวของยูเครนที่ตนยึดไว้ได้นับตั้งแต่รุกรานเข้ายูเครนเมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์จริงหรือ
และแม้จะมีคำประกาศการถอนทัพออกมาจากรัสเซีย เจ้าหน้าที่ยูเครนกล่าวว่า ทุกฝ่ายจะขอใช้ความระมัดระวังและตั้งข้อสงสัยไว้ก่อนว่า นี่อาจะเป็นกับดักของเครมลิน
ขณะเดียวกัน ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ปฏิเสธที่ให้ความเห็นว่า ข่าวการถอนกำลังของรัสเซียนี้น่าจะทำให้ยูเครนสนใจที่ร่วมโต๊ะเจรจากับรัฐมอสโกแล้วหรือไม่
ปธน.ไบเดน กล่าวในวันพุธว่า “ยังคงต้องดูกันต่อไปว่า จะมีการตัดสินในเรื่องที่ว่า ยูเครนพร้อมที่จะรอมชอมกับรัสเซียหรือไม่” พร้อมเผยว่า มีการแจ้งมาแล้วว่า ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน จะไม่เข้าร่วมการประชุมจี-20 แต่ผู้นำโลกอื่น ๆ จะไปรวมตัวกันที่อินโดนีเซีย “และเราจะมีโอกาสที่จะดูว่า จะมีการดำเนินการขั้นต่อไปอย่างไร”
ในส่วนของสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับสงครามในยูเครน มีรายงานข่าวว่า สโลวะเกียและฮังการีเปิดเผยว่า ตนต่างกำลังเตรียมพร้อมรับผู้อพยพลี้ภัยจากยูเครนในช่วงฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึงแล้ว
ทั้งนี้ รัสเซียพุ่งเป้าโจมตีไปยังโรงไฟฟ้าและจุดผลิตพลังงานในยูเครนในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ขณะที่ อุณหภูมิค่อย ๆ ลดลงมาอยู่ต่ำกว่าระดับศูนย์องศาเซลเซียสแล้ว โดยอุณหภูมิต่ำสุดในบางพื้นที่ของยูเครนลดลงถึงระดับ -20 องศาเซลเซียสด้วย
ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี กล่าวว่า มีประชาชนราว 4 ล้านคนในยูเครนที่ประสบปัญหาไม่มีไฟฟ้าใช้อยู่
นอกจากนั้น รัสเซียกำลังเร่งทำการซ่อมแซมสะพานไครเมียที่ได้รับความเสียหายจากการโจมตีในเดือนตุลาคม แต่รายงานข่าวกรองจากกระทรวงกลาโหมอังกฤษชี้ว่า สะพานแห่งนี้ “ไม่น่าจะพร้อมเปิดใช้งานได้อีกครั้งจนกว่าจะถึงเดือนกันยายน 2023 เป็นอย่างเร็ว”
สะพานแห่งนี้เป็นเส้นทางที่กองทัพรัสเซียใช้ขนส่งเสบียง ยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ และกองทหารไปยังไครเมียและพื้นที่ภาคใต้ของยูเครน และกระทรวงกลาโหมอังกฤษระบุว่า ความเสียหายต่อสะพานนี้ ผนวกกับความปราชัยในจุดอื่น ๆ ขัดขวางรัสเซียในการ “สร้างภาพความสำเร็จทางการทหาร” อย่างมาก
- ข้อมูลบางส่วนมาจากรอยเตอร์