ฟิลิปปินส์ประกาศว่า ความสัมพันธ์ด้านกลาโหมระหว่างกรุงมะนิลาและกรุงโตเกียวแน่นแฟ้นขึ้นถึงระดับสูงสุดอย่างไม่เคยมีมาก่อน หลังสองประเทศลงนามในข้อตกลงทางทหารครั้งประวัติศาสตร์ร่วมกันในวันจันทร์ที่จะเปิดทางให้ต่างสามารถส่งกองกำลังของตนไปยังอีกประเทศในช่วงที่ทั้งคู่ต่างเผชิญท่าทีแข็งกร้าวของจีนอยู่ ตามรายงานของสำนักข่าวรอยเตอร์
ข้อตกลงที่มีชื่อว่า Reciprocal Access Agreement (RAA) ที่ฟิลิปปินส์และญี่ปุ่นลงนามรับรองถือเป็นครั้งแรกในเอเชีย ทำให้การนำส่งอาวุธและกำลังทหารเพื่อการซ้อมรบและการรับมือภัยพิบัติระหว่างทั้งสองเกิดได้ง่ายขึ้น ทั้งยังทำให้ความร่วมมือทางทหารของสองประเทศมีความแน่นแฟ้นราบรื่นกว่าที่เคยเป็นมาด้วย
การกระชับความสัมพันธ์ด้านกลาโหมของสองประเทศนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ฟิลิปปินส์และจีนปะทะกันในพื้นที่ทะเลจีนใต้กันเป็นประจำ โดยครั้งล่าสุดก็คือเมื่อเดือนที่แล้วที่กรุงมะนิลาส่งเรือเพื่อขนเสบียงไปยังหน่วยทหารที่ประจำอยู่ที่สันดอนเซคันด์โธมัสโชล ซึ่งเป็นจุดพิพาทระหว่างทั้งคู่ โดยการเผชิญหน้ากันครั้งนั้นทำให้มีกลาสีรายหนึ่งของฟิลิปปินส์ได้รับบาดเจ็บ
แถลงการณ์ร่วมที่ออกมาหลังการลงนามข้อตกลงระบุว่า “รัฐมนตรี(ต่างประเทศและกลาโหมของฟิลิปปินส์ญี่ปุ่น) ต่างแสดงความกังวลยอย่างมากต่อการกระทำที่อันตรายและยกระดับความรุนแรงโดยฝ่ายจีนที่เซคันด์โธมัสโชล” โดยชี้ด้วยว่า พฤติกรรมของจีนนั้นขัดขวางเสรีภาพในการเดินเรือและก่อกวนเส้นทางการส่งเสบียง จนทำให้เกิดการยกระดับความตึงเครียด
รายงานข่าวระบุว่า ข้อตกลงนี้จะมีผลบังคับใช้หลังรัฐสภาของสองประเทศให้สัตยาบันรับรองแล้ว
จีนอ้างกรรมสิทธิ์เหนือพื้นที่เกือบทั้งหมดของทะเลจีนใต้ซึ่งเป็นเส้นทางเดินเรือด้านการค้าที่สำคัญระหว่างภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือกับทั่วโลก โดยบรูไน มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ไต้หวันและเวียดนามต่างก็ออกมาอ้างสิทธิ์ของตนด้วยเช่นกัน
ส่วนกรุงโตเกียวก็มีข้อพิพาทในพื้นที่ทะเลจีนตะวันออกกับกรุงปักกิ่งที่นำมาซึ่งการเผชิญหน้ากันอยู่บ่อยครั้ง
ทั้งฟิลิปปินส์และญี่ปุ่นที่เป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดที่สุดของสหรัฐฯ ในเอเชีย ต่างแสดงท่าทีมุ่งมั่นไม่ยอมรับสิ่งที่ตนมองว่าเป็นการแสดงความอุกอาจเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ของจีนในพื้นที่ทะเลจีนใต้ พร้อม ๆ กับแสดงความกังวลเกี่ยวกับความตึงเครียดในช่องแคบไต้หวันออกมาด้วย
ในการแถลงข่าวที่กรุงมะนิลา โยโกะ คามิคาวา รัฐมนตรีต่างประเทศญี่ปุ่น กล่าวย้ำถึงความสำคัญของสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก และระบุว่า กรุงโตเกียวนั้นคัดค้าน “ความพยายามแต่เพียงฝ่ายเดียวที่จะเปลี่ยนสถานภาพที่เป็นอยู่ (status quo) ด้วยการใช้กำลังและการบีบบังคบ”
หลิน เจี้ยน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน กล่าวว่า ภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกไม่ได้ต้องการกลุ่มก้อนทางการทหารหรือการยั่วยุใด ๆ จะกลุ่มประเทศเล็ก ๆ ที่จะนำมาซึ่งสงครามเย็นครั้งใหม่ โดยระบุว่า “ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นเป็นผู้ทำการรุกรานและยึดประเทศต่าง ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งรวมถึง ฟิลิปปินส์ เป็นอาณานิคมของตน” และว่า “ญี่ปุ่นควรหันกลับไปมองประวัติศาสตร์การรุกรานผู้อื่นของตนเองและระมัดระวังในการใช้คำพูดและการกระทำในเรื่องความมั่นคงทางทหาร”
- ที่มา: รอยเตอร์
กระดานความเห็น