เจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐฯ กล่าวว่า ช่องทางทางการทูตระหว่างสหรัฐฯ กับจีนยังคงเปิดกว้าง แม้ว่าก่อนหน้านี้รัฐบาลกรุงปักกิ่งประกาศว่า ได้ตัดความร่วมมือกับสหรัฐฯ ในหลายด้านเพื่อตอบโต้ที่นักการเมืองอเมริกันหลายคนเยือนไต้หวันในเดือนนี้ ซึ่งรวมถึงความร่วมมือด้านการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลก และการต่อต้านยาเสพติด
เจ้าหน้าที่กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ กล่าวว่า กิจกรรมต่าง ๆ ของกองทัพจีนรอบเกาะไต้หวันชะลอตัวลงในช่วงหลายวันที่ผ่านมา เมื่อเทียบกับช่วงเวลาหลังจากที่ ส.ส.แนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ เดินทางเยือนไต้หวันเมื่อต้นเดือนนี้ แต่ยังคงมากกว่าระดับปกติ
รองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ วีดานต์ พาเทล กล่าวเมื่อวันพุธว่า "รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เวนดี เชอร์แมน เพิ่งพบหารือกับเอกกอัครราชทูตจีนประจำสหรัฐฯ จิน กัง เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม โดยทั้งสองประเทศจะยังคงรักษาช่องทางการสื่อสารนี้ต่อไป"
รองโฆษกฯ พาเทล กล่าวกับวีโอเอว่า "รัฐบาลปักกิ่งได้ปิดช่องทางสื่อสารสำคัญบางอย่างไปแล้ว รวมทั้งตัดความร่วมมือสำคัญหลายส่วนซึ่งส่งผลกระทบไปทั่วโลก" และว่า "สหรัฐฯ ยังคงพยายามหาช่องทางการสื่อสารที่เปิดกว้างและสร้างสรรค์กับจีน เพื่อจัดการความแตกต่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่กำลังเกิดความตึงเครียด"
พาเทล กล่าวด้วยว่า สหรัฐฯ ยังคงใช้แนวทางที่แน่วแน่และเยือกเย็นเพื่อรักษาสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาคนี้ พร้อมไปกับการสนับสนุนไต้หวันซึ่งสอดคล้องกับนโยบาย "จีนเดียว" ที่สหรัฐฯ ยึดถือมานาน
รองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ยืนยันว่า "ไต้หวันคือส่วนสำคัญที่สุดและเป็นประเด็นอ่อนไหวที่สุดเช่นกันในหัวใจของความสัมพันธ์สหรัฐฯ - จีน"
ในเดือนสิงหาคมนี้ นอกจาก ส.ส. เพโลซี ที่เดินทางเยือนไต้หวันแล้ว ยังมีคณะผู้แทนจากรัฐสภาสหรัฐฯ 5 คน นำโดย วุฒิสมาชิก เอ็ด มาร์คีย์ สมาชิกพรรคเดโมแครตจากรัฐแมสซาชูเซตส์ ร่วมด้วย ส.ส.สมาชิกพรรคเดโมแครตอีก 3 คน และ ส.ส.สมาชิกพรรครีพับลิกัน 1 คน
และล่าสุด ผู้ว่าการรัฐอินเดียนา เอริค โฮลโคมบ์ เดินทางไปพบกับประธานาธิบดีไช่ อิง-เหวิน แห่งไต้หวัน เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ถือเป็นผู้ว่าการรัฐของอเมริกาคนแรกที่เดินทางเยือนไต้หวันนับตั้งแต่การระบาดของโควิด-19 นำไปสู่การประท้วงอย่างเป็นทางการของรัฐบาลจีน
เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ หลายคนเชื่อว่า นโยบายจีนเดียวที่รัฐบาลกรุงวอชิงตันยึดมั่นนั้น "ห่างไกล" กับหลักการจีนเดียวของรัฐบาลปักกิ่ง โดยสหรัฐฯ เชื่อในนโยบายจีนเดียวที่ยึดโยงกับกฎหมาย Taiwan Relations Act ของสหรัฐฯ ซึ่งใช้มานานหลายสิบปี และการจัดทำความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีนที่เริ่มขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1979 นั้นก็ตั้งอยู่บนความคาดหวังเรื่องอนาคตของไต้หวันบนแนวทางที่สันติ ดังที่ระบุไว้ในกฎหมายฉบับนี้
เมื่อวันพุธ เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ยืนยันพันธกิจของสหรัฐฯ ในการสนับสนุนความมั่นคง เสรีและเปิดกว้าง ของภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก และจะยังคงเดินหน้าแสดงเสรีภาพทางการเดินเรือในแถบนี้ รวมทั้งบริเวณช่องแคบไต้หวัน ที่สอดคล้องกับกฎหมายสากล เพื่อรักษาเสถียรภาพของช่องแคบไต้หวันในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของผลประโยชน์แห่งชาติของสหรัฐฯ และของภูมิภาคนี้
แดเนียล คริเทนบริงค์ เจ้าหน้าที่ระดับสูงฝ่ายกิจการเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก ของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวว่า "ภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกทั้งหมด รวมทั้งประชาคมโลก ต่างมีผลประโยชน์จากการรักษาสันติภาพและความมั่นคงแถบช่องแคบไต้หวัน... ซึ่งถือเป็นเส้นทางเดินเรือสำคัญจากจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และไต้หวัน ไปสู่ยุโรปและอเมริกา รวมทั้งตลาดของประเทศอื่น ๆ ที่อยู่ในเส้นทางการเดินเรือ"
คริเทนบริงค์ กล่าวด้วยว่า "เกือบครึ่งหนึ่งของเรือขนส่งสินค้าทั่วโลก และ 88% ของเรือที่มีระวางขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ล้วนต้องผ่านช่องแคบไต้หวันในแต่ละปี"
- ที่มา: วีโอเอ