อินเดียประสบความสำเร็จในการทดสอบจรวดขีปนาวุธครั้งที่ 4 ซึ่งเป็นจรวดที่สามารถติดตั้งหัวรบนิวเคลียร์ได้ และไปได้ไกลกว่า 5,000 กิโลเมตร
อินเดียทดสอบจรวดอัคนี-5 บนเกาะอับดุลคาลาม นอกชายฝั่งมหาสมุทรอินเดีย และไปตกบริเวณใกล้กับเขตน่านน้ำออสเตรเลีย
จรวดอัคนี-5 ลูกนี้มีความยาว 17.5 เมตร หนัก 50 ตัน สามารถโจมตีไปถึงเป้าหมายในประเทศจีน ทำให้มีความกังวลว่าอาจเกิดการแข่งขันสั่งสมอาวุธระหว่างอินเดียกับจีน
คุณอาเจย์ เลเล แห่งสถาบัน Defense Studies and Analyses ในกรุงนิวเดลี บอกว่าการทดสอบครั้งนี้ประสบความสำเร็จด้วยดี และเป็นการรับรองว่าจรวดอัคนี-5 ใช้การได้ ก่อนที่จะส่งไปประจำการในกองทัพอินเดีย
จรวด "อัคนี" ซึ่งหมายถึง "ไฟ" ในภาษาฮินดูและสันสกฤต ถูกพัฒนาขึ้นเมื่อราว 10 ปีก่อน โดยในช่วงเริ่มต้นสามารถโจมตีได้ทุกพื้นที่ในปากีสถานซึ่งเคยทำสงครามมาแล้ว 3 ครั้งกับอินเดีย และปากีสถานเป็นประเทศที่มีอาวุธนิวเคลียร์ในครอบครองเช่นกัน
แต่นักวิเคราะห์ชี้ว่า จรวดอัคนี-5 ถูกพัฒนาขึ้นโดยมีเป้าหมายไปที่จีนเป้นหลัก เนื่องจากรัฐบาลอินเดียมองว่าจีนคือภัยคุกคาม
ในอดีตเมื่อกว่า 50 ปีก่อน จีนและอินเดียเคยมีสงครามระยะสั้นๆ และปัจจุบันยังคงมีข้อพิพาทด้านพรมแดนบริเวณเทือกเขาหิมาลัย นอกจากนี้อินเดียยังกังวลต่อความสัมพันธ์ จีน-ปากีสถาน และการแผ่ขยายอิทธิพลของจีนในมหาสมุทรอินเดีย
บรรดาผู้นำอินเดียต่างแสดงความยินดีต่อความสำเร็จในการทดสอบจรวดครั้งล่าสุด โดยนายกรัฐมนตรี นเรนธรา โมดี ทวีตข้อความว่า "ความสำเร็จของการทดสอบอัคนี-5 คือความภูมิใจของอินเดีย และเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับยุทธศาสตร์ด้านการทหารของอินเดีย"
นักวิเคราะห์มองว่า จรวดอัคนี-5 ช่วยให้อินเดียมีศักยภาพทางนิวเคลียร์เพิ่มขึ้น เทียบเคียงกับประเทศมหาอำนาจทางการทหารอื่นๆ โดยปัจจุบันมีเพียง 5 ประเทศที่มีอาวุธนิวเคลียร์รัศมีทำการระยะไกล ได้แก่ สหรัฐฯ รัสเซีย อังกฤษ ฝรั่งเศส และจีน
(ผู้สื่อข่าว Anjana Pasricha รายงานจากกรุงนิวเดลี / ทรงพจน์ สุภาผล เรียบเรียง)