องค์กรสิทธิมนุษยชน 'ฮิวเเมนไรท์สวอทช์' (Human Rights Watch) ออกรายงานประจำปี World Report 2025 ในวันพฤหัสบดีเกี่ยวกับสิทธิและเสรีภาพในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก โดยระบุว่าในภูมิภาคเอเชียเเปซิฟิกมีสัญญาณเชิงบวกเกิดขึ้นบ้างจากการเคลื่อนไหวของประชาชนในบางประเทศเช่น บังกลาเทศ อินเดีย และเกาหลีใต้
อย่างไรก็ตาม ในเนื้อหาบางส่วนที่เกี่ยวกับไทย ฮิวเเมนไรท์สวอทช์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลปัจจุบันเรื่องสิทธิขั้นพื้นฐาน
ฮิวเเมนไรท์สวอทช์ กล่าวถึงข้อจำกัดของประชาธิปไตยในประเทศไทย หลังการเลือกตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2566 ที่พรรคก้าวไกลที่ชนะเลือกตั้งถูกศาลสั่งยุบพรรคในเดือนสิงหาคม
รายงาน World Report 2025 ของฮิวเเมนไรท์สวอทช์ ระบุว่า "นายกรัฐมนตรี เเพทองธาร ชินวัตร ดำเนินการเพียงเล็กน้อยเท่านั้นในการส่งเสริมการเคารพเสรีภาพขั้นพื้นฐาน และคลี่คลายปัญหาสิทธิมนุษยชนที่ยังค้างอยู่"
ขณะเดียวกันองค์กรดังกล่าวชี้ให้เห็นถึงการที่ไทยให้การรับรองทางกฎหมายเรื่อง 'สมรสเท่าเทียม' ซึ่งเป็นประเทศเเรก ๆ ในภูมิภาค โดยระบุว่าเป็นพัฒนาการเชิงบวกที่เกิดขึ้นกับไทย
รายละเอียดที่เกี่ยวกับสัญญาณที่ดีในเอเชียรวมถึงการเคลื่อนไหวของชาวอินเดียเพื่อต่อต้านนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี รวมทั้งการขับเคลื่อนโดยนักศึกษาที่นำไปสู่การโค่นรัฐบาลของนายกรัฐมนตรีบังกลาเทศ ชีค ฮาซีนา และเหตุการณ์ในเกาหลีใต้ที่ประชาชนร่วมสกัดกั้นความพยายามของประธานาธิบดียูน ซุก ยอล ที่ใช้กฎอัยการศึกลดทอนอำนาจฝ่ายค้าน
รายงานฉบับนี้ ของฮิวเเมนไรท์สวอทช์ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่นครนิวยอร์ก แสดงความกังวลต่อเหตุการณ์ในหลายประเทศเช่นกัน
รัฐบาลทหารเมียนมายังคงจับกุมและใช้ความรุนเเรงทำร้ายฝ่ายตรงข้าม เป็นเวลาเกือบ 4 ปี หลังจากที่ยึดอำนาจจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
ในอัฟกานิสถาน กลุ่มตาลิบันกลับมาลดทอนเสรีภาพของผู้หญิง และในจีน ประธานาธาธิบดีสี จิ้น ผิง ยังคงปราบปราบผู้เห็นต่าง
ผู้อำนวยการบริหารของฮิวเเมนไรท์สวอทช์ ทิรานา ฮัสซาน กล่าวในรายงานว่า "เมื่อใดที่เสรีภาพได้รับการคุ้มครอง มนุษยชาติก็จะเติบโตงอกงาม.... เมื่อใดที่มันถูกปฏิเสธ ราคาของมันจะถูกวัดด้วยชีวิตคน และไม่ได้เป็นเพียงนามธรรม นี่คือสิ่งท้าทายและโอกาสแห่งช่วงเวลาของเรา"
บังกลาเทศ
นายกฯ ฮาซีนาแห่งบังกลาเทศ ถูกขับออกจากตำแหน่งและหนีออกนอกประเทศเมื่อนักศึกษาเป็นแกนนำประท้วงในเดือนสิงหาคม หลังจากการบริหารประเทศยาวนาน 15 ปี ซึ่งมีเเนวทางกดขี่บีบบังคับมากขึ้นเรื่อย ๆ
ผู้สนับสนุนพรรคการเมืองเธอและตำรวจโจมตีการประท้วงอย่างสันติโดยนักศึกษาที่ในตอนเเรกต้องการล้มเเผนจ้างงานในระบบโควต้าของรัฐบาล
การปราบปรามที่เกิดขึ้น ใช้มาตรการตัดสัญญาณอินเตอร์เน็ต และการประกาศห้ามประชาชนออกจากที่อยู่อาศัยยามวิกาล มิเช่นนั้นเจ้าหน้าที่มีสิทธิยิงประชาชน
ฮิวเเมนไรท์สวอทช์ระบุว่า ผู้คนประมาณ 1,000 คน ซึ่งรวมถึงเด็กกว่า 100 คนเสียชีวิตในความรุนเเรงเมื่อเดือนกรกฎาคม รวมทั้งช่วงการแก้เเค้นหลังจากฮาซินาพ้นจากตำแหน่ง
หลังจากที่ฮาซินาหนีออกนอกประเทศ รัฐบาลเฉพาะกาลมูฮัมหมัด ยูนูสปล่อยตัวประชาชนที่ถูกจับระหว่างการประท้วงนับพันคน และนำความสงบเรียบร้อยกลับมาอีกครั้ง รวมทั้งช่วยตั้งหลักให้บังกลาเทศมีการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย
ความพยายามของยูนูส ผู้ที่เคยได้รับรางวัลโนเบล มีหลักการความโปร่งใสและความสำนึกรับผิดชอบเป็นเเก่นกลาง นอกจากนั้นตัวข้าหลวงใหญ่สหประชาชาติด้านสิทธิมนุษยชนได้รับเชิญให้อยู่ในคณะทำงานเเสวงหาความจริง เรื่องการกระทำผิดระหว่างการประท้วงและหาสาเหตุต้นตอของความไม่พอใจของประชาชน ตามข้อมูลของฮิวเเมนไรท์สวอทช์
อินเดียและเกาหลีใต้
อีกตัวอย่างหนึ่งของการ "ขัดขืนด้วยวิถีทางประชาธิปไตย" เห็นได้จากเหตุการณ์ในอินเดีย เมื่อเดือนมิถุนายน ที่ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งปฏิเสธเเนวทางของนายกฯ นเรนทรา โมดี ที่ใช้แนวคิดประชานิยมและวาทกรรมต่อต้านมุสลิม โดยโมดีไม่ได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของผู้มาใช้สิทธิ์
ทิรานา ฮัสซาน ผู้อำนวยการบริหารของฮิวเเมนไรท์สวอทช์ กล่าวว่า "นี่เเสดงให้เห็นว่า ท่ามกลางสิ่งท้าทายที่ฝังรากลึก ประชาธิปไตยยังสามารถตรวจสอบผู้มีอำนาจได้ "
และเมื่อปลายปีที่เเล้ว ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ยูน ซุก ยอล สร้างความตกตะลึงด้วยการประกาศกฎอัยการศึกในความพยายามที่จะสยบเสียงต่อต้านรัฐบาลของเขา แต่การกระทำเช่นนั้นกลับทำให้ประชาชนลุกฮือขึ้นประท้วงที่สภา ซึ่งตัวเเทนของประชาชนในสภาโหวตคว่ำคำสั่งของยูนในเวลาต่อมา
ทิรานา ฮัสซาน กล่าวว่า "การเคลื่อนไหวเพื่อขัดขืนเหล่านี้สะท้อนถึงความจริงที่สำคัญยิ่ง... การต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพเกิดขึ้นจากประชาชนคนธรรมดา ที่เอือมระอากับความอยุติธรรมและคอร์รัปชั่น เป็นการนำพลังที่มีร่วมกันมากดดันให้รัฐบาลยึดถือสิทธิขั้นพื้นฐานและทำงานรับใช้ประชาชน ไม่ได้เพื่อผลประโยชน์ของพวกเขาเอง"
จีนและฮ่องกง
ภายใต้การนำของประธานาธิบดีสี จีนที่เผชิญกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจ ใช้แนวทางปราบปรามประชาชน ตั้งเเต่การจับและขังชาวอุยกูร์หลายเเสนคน ไปจนถึงการปฏิเสธสิทธิประชาชนในฮ่องกง ตามรายงานของฮิวเเมนไรท์สวอทช์
รายงานประจำปีฉบับนี้ระบุว่า จีน "ไม่มีภาคประชาสังคมที่เป็นอิสระ ไม่มีเสรีภาพในการเเสดงความคิดเห็น หรือรวมตัวกัน รวมทั้งเสรีภาพด้านศาสนา บรรดาผู้ปกป้องสิทธิมนุษยชนและผู้ที่ถูกมองว่าวิจารณ์รัฐ ต่างถูกเล่นงาน"
และเมื่อเศรษฐกิจจีนอ่อนตัวลง ประธานาธิบดีสี ยกระดับการปราบปรามผู้เห็นต่าง เช่น การควบคุมตัวนักวิเคราะห์เศรษฐกิจ ศิลปินและผู้นำภาคประชาสังคม
ส่วนที่ฮ่องกง นักเคลื่อนไหวและอดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติรวม 14 คน ถูกนำเข้าเรือนจำ และต้องโทษเป็นเวลา 4 - 10 ปี ในข้อหา "ร่วมกันวางแผนบั่นทอนรัฐบาล" เพราะว่าพวกเขาจัดทำโพลล์อย่างไม่เป็นทางการก่อนการเลือกตั้งเมื่อ 5 ปีก่อน
ในเรื่องเสรีภาพสื่อในฮ่องกง จิมมี ไล วัย 76 ปีอดีตผู้บริหารสื่อ ยังคงอยู่ในระหว่างถูกดำเนินคดี ภายใต้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติ นอกจากนี้ นักข่าว 2 คนถูกจำคุกในเดือนกันยายนเป็นเวลา 21 เดือนและ 11 เดือน ในข้อหาสร้างความปั่นป่วนในประเทศ
ฮิวเเมนไรท์สวอทช์ ระบุว่า “ขณะที่รัฐบาลต่างประเทศหลายแห่งรับทราบว่าประเด็นสิทธิมนุษยชนในจีนกำลังย่ำเเย่ลง แต่พวกเขาก็ไม่เผชิญหน้ากับจีน"
เมียนมาและสิงคโปร์
รัฐบาลทหารของเมียนมายังคงกระหน่ำโจมตีด้วยเครื่องบินและปืนใหญ่ต่อบริเวณที่มีพลเรือนอาศัยอยู่ และดำเนินการจับและขังฝ่ายตรงข้าม
เยาวชนจำนวนมากถูกบังคับเกณฑ์ทหาร ในเวลาที่กองทัพกำลังสูญเสียในการต่อสู้กับฝ่ายตรงข้ามทั่วประเทศ
ฮิวเเมนไรท์สวอทช์ระบุว่าศาลอาญาระหว่างประเทศออกหมายจับผู้นำทหารของเมียนมา พลเอกอาวุโสมิน อ่อง หล่าย ในข้อหาก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ จากการปราบปรามชาวโรฮิงญาที่เป็นชาวมุสลิมในปี 2017 ส่วนที่ประเทศสิงคโปร์ รัฐบาลยังคงใช้โทษประหารชีวิต ในคดียาเสพติด
- ที่มา: วีโอเอ