ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของบริษัทเทคโนโลยี หัวเหว่ย (Huawei) กล่าวในวันจันทร์ว่า รายได้ของหัวเหว่ยจะลดลงจากระดับที่คาดการณ์ไว้ราว 30,000 ล้านดอลลาร์ในช่วงสองปีข้างหน้า ซึ่งเป็นผลมาจากมาตรการคว่ำบาตรของรัฐบาลสหรัฐฯ
นายเหริน เจิ้งเฟย กล่าวระหว่างการประชุมคณะกรรมการบริษัทที่สำนักงานใหญ่ของบริษัทหัวเหว่ย ที่เมืองเสินเจิ้น โดยบอกว่า เราไม่เคยคิดมาก่อนว่ามาตรการของสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบต่อหัวเหว่ยมากมายขนาดนี้
นายเหรินกล่าวว่า หัวเหว่ยจะลดศักยภาพในการผลิตลง ซึ่งจะทำให้รายได้ลดลงไปอยู่ที่ระดับ 100,000 ล้านดอลลาร์ต่อปีในช่วงสองปีข้างหน้า เทียบกับระดับ 105,000 ล้านดอลลาร์ต่อปีเมื่อปีที่แล้ว และลดลงจากที่คาดการณ์ไว้เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 25,000 ล้านดอลลาร์
นายเหรินคาดว่า ยอดขายโทรศัพท์หัวเหว่ยในต่างประเทศจะลดลงราว 40% ซึ่งตรงกับที่ Bloomberg รายงานไว้เมื่อวันอาทิตย์ อย่างไรก็ตาม คาดว่ายอดขายในตลาดจีนจะเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
ซีอีโอหัวเหว่ยระบุด้วยว่า จะไม่ปล่อยให้มาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ครั้งนี้กระทบกับโครงการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ของหัวเหว่ยเด็ดขาด
เมื่อเดือนที่แล้ว ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหาร ห้ามบริษัทต่างๆ ในสหรัฐฯ ใช้อุปกรณ์สื่อสารโทรคมนาคมที่ผลิตโดยองค์กรที่สร้างความเสี่ยงด้านความมั่นคงต่อสหรัฐฯ รวมทั้งบริษัทหัวเหว่ย
รัฐบาลสหรัฐฯ เชื่อว่า อุปกรณ์ของบริษัทหัวเหว่ยถูกนำมาใช้ในการสอดแนมและลักลอบเก็บข้อมูลความลับต่างๆ ของบริษัทอเมริกัน
และเมื่อเดือนธันวาคม บุตรสาวของนายเหริน คือ เมิ่ง ว่างโจว ได้ถูกจับกุมที่สนามบินเมืองแวนคูเวอร์ ในแคนาดา หลังจากรัฐบาลอเมริกันกล่าวหาว่าเธอได้ปกปิดความเชื่อมโยงของหัวเหว่ยกับบริษัทฮ่องกงรายหนึ่ง ที่ชื่อ Skycom ที่ขายอุปกรณ์เทคโนโลยีอเมริกันให้กับอิหร่าน ซึ่งถือว่าเป็นความผิด เพราะสหรัฐฯ ใช้มาตรการลงโทษอิหร่านอยู่ในขณะนี้
ปัจจุบัน หัวเหว่ยคือผู้ผลิตโทรศัพท์สมาร์ทโฟนรายใหญ่อันดับสองของโลก รองจาก ซัมซุง โดยมียอดขาย 208 ล้านเครื่องเมื่อปีทีี่แล้ว ในจำนวนนี้เกือบครึ่งหนึ่งขายในตลาดต่างประเทศ