สำนักงานอาหารและยาสหรัฐฯ หรือ เอฟดีเอ เปิดเผยว่า วัคซีนป้องกันโควิด-19 เข็มที่สามของบริษัทไฟเซอร์ สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ และยืนยันว่า วัคซีนสองเข็มที่ใช้อยู่ในขณะนี้ก็สามารถป้องกันอาการป่วยหนักจากโคโรนาไวรัสได้ดีเช่นกัน
เอฟดีเอกำลังพิจารณาคำร้องของบริษัทไฟเซอร์ที่ต้องการให้ฉีดวัคซีนเข็มที่สามเพื่อกระตุ้นภูมิให้แก่ประชาชนที่ได้รับวัคซีนไปแล้วสองเข็ม โดยไฟเซอร์ระบุว่า ภูมิคุ้มกันจะเริ่มลดลงเมื่อผ่านไป 6-8 เดือนหลังจากได้รับเข็มที่สอง โดยผลการทดสอบกับกลุ่มตัวอย่างมากกว่า 300 คน พบว่าวัคซีนเข็มที่สามสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้เพิ่มขึ้น 3-5 เท่า
ไฟเซอร์ยังอ้างอิงผลการศึกษาในอิสราเอลซึ่งตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ New England Journal of Medicine เมื่อวันพุธ ที่แสดงให้เห็นว่าอัตราการติดเชื้อของผู้ที่มีอายุเกิน 60 ปี ลดลง 11 เท่าหลังจากได้รับวัคซีนเข็มที่สาม โดยมีกลุ่มตัวอย่างในการศึกษาครั้งนี้ราวหนึ่งล้านคน
คำขอของไฟเซอร์เพื่อฉีดวัคซีนกระตุ้นภูมิคุ้มกัน มีขึ้นหลังจากที่จำนวนผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตจากโควิด-19 ในสหรัฐฯ และทั่วโลก เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม เอฟดีเอระบุว่า ผลการศึกษาล่าสุดชี้ว่า วัคซีนที่ได้รับอนุญาตและใช้กันอยู่ในสหรัฐฯ ในขณะนี้ ยังคงสามารถป้องกันอาการป่วยหนักและการเสียชีวิตจากโควิด-19 ได้
เมื่อเดือนที่แล้ว ทั้งเอฟดีเอและศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐฯ หรือ ซีดีซี ต่างแนะนำให้มีการฉีดวัคซีนเข็มที่สามของไฟเซอร์หรือโมเดอร์นาสำหรับคนที่มีระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง
แต่เมื่อไม่กี่วันก่อน กลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านวัคซีนระหว่างประเทศ ได้ร่วมตีพิมพ์รายงานในวารสารการแพทย์ The Lancet ต่อต้านการฉีดวัคซีนบูสเตอร์ให้แก่ประชากรทั่วไป โดยระบุว่า ผลการศึกษาชี้ว่าวัคซีนที่ใช้อยู่ทั่วโลกยังคงสามารถป้องกันเชื้อโคโรนาไวรัสได้ดี รวมทั้งสายพันธุ์เดลตา โดยเฉพาะอาการป่วยหนักและการเสียชีวิต
ผู้จัดทำรายงานชิ้นนี้ชี้ด้วยว่า การดัดแปลงวัคซีนให้เหมาะกับไวรัสแต่ละสายพันธุ์ น่าจะเป็นวิธีที่ดีกว่าการฉีดวัคซีนบูสเตอร์
ทางองค์การอนามัยโลกได้ขอให้ประเทศร่ำรวยชะลอการฉีดวัคซีนบูสเตอร์ให้ประชาชนของตนไว้ก่อนจนถึงสิ้นปีนี้ เพื่อให้แน่ใจว่าประเทศรายได้ต่ำและปานกลางจะมีวัคซีนโควิดเพียงพอ
(ข้อมูลบางส่วนจากเอพีและรอยเตอร์)