รัฐบาลกรุงวอชิงตันตั้งเป้าที่จะโน้มน้าวในประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ปรับยกระดับการดำเนินนโยบายของตนต่อรัฐบาลทหารเมียนมาให้หนักขึ้นและลุกขึ้นมาต้านการดำเนินการควบคุมพื้นที่ทะเลจีนใต้ของกรุงปักกิ่งมากขึ้น ในระหว่างการเยือนภูมิภาคนี้ในสัปดาห์หน้าของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ตามรายงานของสำนักข่าวรอยเตอร์
แหล่งข่าวภายในกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เปิดเผยกับรอยเตอร์ว่า แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจะเดินทางเยือนอินโดนีเซียเพื่อประชุมกับรัฐมนตรีต่างประเทศจากอาเซียน หลังร่วมกับประธานาธิบดีโจ ไบเดน ในการประชุมนาโต้ที่ประเทศลิทัวเนีย ซึ่งมีกำหนดจัดขึ้นตั้งแต่วันอาทิตย์ถึงวันพุธหน้า
แดเนียล คริเทนบริงค์ เจ้าหน้าที่ระดับสูงด้านกิจการเอเชียตะวันออกของกระทรวงการต่างประเทศ บอกกับผู้สื่อข่าวว่า เรื่องของเมียนมาจะเป็น “หนึ่งในประเด็นหลัก” ของการหารือที่จาการ์ตา
ทั้งนี้ อาเซียนได้สั่งห้ามไม่ให้บรรดานายพลที่อยู่ในรัฐบาลทหารเมียนมาเข้าร่วมประชุมระดับสูงต่าง ๆ ของทางกลุ่มมาตั้งแต่เกิดเหตุรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาลพลเรือนของนางออง ซาน ซู จี เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี ค.ศ. 2021 ขณะที่ รัฐบาลไทยได้เสนอให้ทางกลุ่มกลับมาทำงานมีปฏิสัมพันธ์กับฝ่ายพม่าอีกครั้งอยู่
คริเทนบริงค์กล่าวระหว่างการคุยโทรศัพท์กับผู้สื่อข่าวรอยเตอร์เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่า “เราคาดหวังว่า เพื่อน ๆ และหุ้นส่วนของเราในอาเซียน ... จะเดินหน้าลดระดับบทบาทของเมียนมาในการประชุมรัฐมนตรีอาเซียน และเราก็เฝ้ารอที่จะพบหนทางที่จะยกระดับแรงกดดันรัฐบาล[ทหาร] เพื่อบีบให้ยุติการใช้ความรุนแรงและนำพาประเทศกลับคืนสู่เส้นทางแห่งประชาธิปไตย”
เมื่อเดือนที่แล้ว รัฐบาลกรุงวอชิงตันเพิ่งประกาศดำเนินมาตรการลงโทษอีกชุดต่อธนาคารสองแห่งของเมียนมาที่บรรดานายพลในกองทัพใช้บริการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ โดยมาตรการดังกล่าวมีจุดประสงค์เพื่อลดทอนความสามารถของกองทัพเมียนมาในการนำเข้าอาวุธและวัสดุอุปกรณ์ซึ่งจะนำไปใช้ในการปราบปรามกองกำลังต่อต้านรัฐประหาร
เมื่อสัปดาห์ก่อน คริเทนบริงค์กล่าวว่า ประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคอาเซียนควรเดินหน้าหาทางออกในประเด็นข้อพิพาทในทะเลจีนใต้ระหว่างกันได้แล้ว เพื่อที่จะได้หันมาร่วมแรงในการโต้แย้งกับคำกล่าวอ้างสิทธิ์ของจีน ก่อนที่จะกล่าวเพิ่มเติมในวันศุกร์ว่า สหรัฐฯ จะทำงานร่วมกับสมาชิกอาเซียนในการประชุมที่จาการ์ตาเพื่อช่วยต้านสิ่งที่เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ รายนี้ระบุว่าเป็น “แนวโน้มที่เพิ่มสูงขึ้นของพฤติกรรมจีนที่ไร้ความรับผิดชอบ ขู่เข็ญและเปล่าประโยชน์ต่าง ๆ”
- ที่มา: รอยเตอร์
