สภาพการณ์ที่ชาวอเมริกันจำนวนไม่น้อยแสดงความลังเลที่จะเข้ารับการฉีดยาต้านโควิด-19 ทำให้ รัฐบาลของประธานาธิบดี โจ ไบเดน ตัดสินใจเปิดตัวแผนงานใหม่ที่เชิญชวนผู้มีชื่อเสียงต่างๆ มาช่วยส่งเสริมความตื่นตัวในด้านนี้ โดยเฉพาะในชุมชนที่มีการระบาดหนัก
สำนักข่าว The Associated Press รายงานว่า โครงการใหม่ที่มีชื่อว่า “We Can Do This” หรือ “เราทำได้” นี้ ใช้โฆษณาผ่านสื่อโทรทัศน์และสื่อสังคมออนไลน์ ควบคู่กับความร่วมมือของกลุ่มคณะชุมชน (Community Corps) ที่จัดตั้งขึ้นมาใหม่อันประกอบด้วยตัวแทนจากส่วนงานสาธารณสุข ด้านศาสนา และหลายฝ่าย เพื่อกระจายข้อมูลเกี่ยวกับความปลอดภัยและประสิทธิผลของวัคซีน 3 สูตรที่รัฐบาลสหรัฐฯ อนุมัติให้มีการใช้งานในประเทศแล้ว
และในวันพฤหัสบดีตามเวลาท้องถิ่น ปธน.ไบเดนได้ร้องขอให้ผู้นำศาสนาต่างๆ กว่า 1,000 คน ให้เดินหน้าส่งเสริมการกระจายวัคซีนในชุมชนของตน ด้วยการระบุว่า “ผู้คนนั้นจะยอมฟังคำพูดของผู้นำศาสนาทั้งหลาย มากกว่าฟังตนในฐานะประธานาธิบดีสหรัฐฯ”
ขณะเดียวกัน รองประธานาธิบดี คามาลา แฮร์ริส และ นายแพทย์ วิเวก เมอร์ธี แพทย์ใหญ่ของสหรัฐฯ ซึ่งเทียบเท่า อธิบดีกรมอนามัยของไทย ร่วมประชุมออนไลน์กับสมาชิกชุดปฐมฤกษ์ของกลุ่มคณะชุมชนกว่า 275 คน เพื่อหารือแผนงานการส่งเสริมการฉีดยาต้านโควิดเช่นกัน
รายงานข่าวระบุว่า เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวรายหนึ่งเปิดเผยว่า รองปธน.แฮร์ริส มีแผนจะรับหน้าที่ผลักดันให้ประชาชนยอมรับวัคซีนมากขึ้น นอกเหนือจาก ภารกิจการให้ความรู้และข้อมูลเกี่ยวกับแผนการช่วยเหลือผลกระทบทางเศรษฐกิจมูลค่า 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ และการแก้ปัญหาต้นตอของคลื่นผู้อพยพเข้าประเทศที่มาพร้อมกับจำนวนผู้เยาว์ที่เดินทางโดยไม่มีผู้ปกครองมายังแถบชายแดนภาคใต้ของประเทศด้วย
ทั้งนี้ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐฯ (CDC) ประกาศว่าจะจัดสรรงบประมาณ 3,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อช่วยผู้นำชุมชนและกลุ่มต่างๆ ทั่วประเทศในการส่งเสริมให้คนในพื้นที่ของตนมีความมั่นใจและยอมรับวัคซีนมากขึ้น
ขณะเดียวกัน กระทรวงสาธารณสุขและบริการประชาชนสหรัฐฯ ได้เริ่มแผนงานโฆษณาทั่วประเทศเพื่อโปรโมทการฉีดวัคซีน ที่เน้นไปยังชาวอเมริกันผู้สูงอายุ ผู้มีเชื้อสายละติน และผู้มีผิวสี ภายใต้งบประมาณ 250 ล้านดอลลาร์ พร้อมกับการร่วมมือกับ เฟสบุ๊ค ในการผลักดันให้ผู้ที่ต้องการรับวัคซีนมีโอกาสแสดงความเห็นของตนผ่านสื่อสังคมออนไลน์ รวมทั้งให้ผู้ที่ได้รับวัคซีนมาแล้วสามารถแบ่งปันประสบการณ์ของตนให้ผู้อื่นได้อย่างง่ายดายด้วย
รายงานข่าวยังระบุว่า ภายในสิ้นเดือนพฤษภาคมนี้ สหรัฐฯ น่าจะมีวัคซีนมากพอที่จะฉีดให้กับชาวอเมริกันที่อยู่ในวัยผู้ใหญ่ได้ทุกคน ขณะที่นายแพทย์แอนโธนี เฟาชี่ ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อของสหรัฐฯ ประเมินว่า การที่สหรัฐฯ จะสามารถประสบความสำเร็จในการสร้างภูมิคุ้มกันระดับชุมชน (Herd Immunity) ได้นั้น ประชากรราว 70-85 เปอร์เซ็นต์ของประเทศต้องได้รับวัคซีนก่อน