ลิ้งค์เชื่อมต่อ

วิเคราะห์: ประสิทธิผลการแถลงนโยบาย-ผลงานของไบเดน ต่อผู้ขาดศรัทธาในรัฐบาล


State of the Union address
State of the Union address

การแถลงนโยบายและผลงานประจำปีครั้งที่ 2 ของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่จัดขึ้นเมื่อคืนวันอังคารตามเวลาในสหรัฐฯ น่าจะเป็นช่วงเวลาที่ผู้นำสหรัฐฯ คนปัจจุบันสามารถนำเสนอความสำเร็จมากมายในช่วงสองปีที่ผ่านมา ตั้งแต่การผ่านกฎหมายออกมาหลายร้อยฉบับ การที่พรรคเดโมแครตยังรักษาเสียงส่วนมากในวุฒิสภาไว้ได้พร้อม ๆ กับกันไม่ให้พรรครีพับลิกันโกยเสียงข้างมากสัดส่วนสูงในสภาล่างได้ ไปจนถึงนโยบายสนับสนุนยูเครนในการรับมือกับการรุกรานของรัสเซีย และการนำพาประเทศผ่านพ้นวิกฤตโควิด

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ประธานาธิบดีคนที่ 46 ของสหรัฐฯ ยังไม่สามารถสลัดข้อกังขาและการวิพากษ์วิจารณ์จากกลุ่มที่อยู่ตรงข้ามได้สำเร็จ ตามรายงานของสำนักข่าวเอพี

ผลการสำรวจความคิดเห็นประชาชนก่อนการแถลงนโยบายและผลงานประจำปี (State of the Union) พบว่า ชาวอเมริกันส่วนใหญ่ไม่ได้รับรู้เกี่ยวกับความสำเร็จใด ๆ ของปธน.ไบเดนเลย และส่วนมากก็ไม่ได้ชื่นชมผลงานใด ๆ ของผู้นำสหรัฐฯ ด้วย ขณะที่ ผู้ที่สนับสนุนหรือเป็นสมาชิกพรรคเดโมแครตยังแสดงความกังขาว่า ปธน.ไบเดน ควรลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมัยที่ 2 หรือไม่ พร้อมแสดงความกังวลเกี่ยวกับสุขภาพของผู้นำคนนี้ด้วย

และทั้งหมดนี้ก็ดูสมเหตุสมผลว่า ค่ำคืนวันอังคารที่ผ่านมาควรจะเป็นช่วงเวลาเดิมพันสำคัญมากสำหรับปธน.ไบเดน ในการใช้เวลาที่หลายคนเชื่อว่า เป็นโอกาสสุดท้ายและดีที่สุดในการแจกแจงว่า ทำไมตนถึงสมควรจะได้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้นำประเทศในสมัยที่ 2 ก่อนจะมีการประกาศการตัดสินใจในเรื่องนี้อย่างเป็นทางการ

thumbnail Biden Touts Economic Gains, Pleads for Unity in State of the Union Address
thumbnail Biden Touts Economic Gains, Pleads for Unity in State of the Union Address

ในเวลาชั่วโมงเศษ ๆ ของการพูดถึงนโยบายและความสำเร็จต่าง ๆ นั้น ไบเดน ชี้แจงชัดเจนว่า ตนยังมีภาระหน้าที่ต้องทำอีกมากมายในฐานะประธานาธิบดีสหรัฐฯ และยังพูดกับสมาชิกพรรครีพับลิกันในหอประชุมคองเกรสที่เป็นเสียงข้างมากในสภาหลังการเลือกตั้งกลางเทอมเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่แล้วว่า “ประชาชนส่งสารอันชัดเจนมายังเรา” ว่า ทั้งสองฝ่ายควรหาจุดยืนร่วมกันได้แล้ว และย้ำว่า “เราถูกส่งมาที่นี่เพื่อให้ทำงานให้สำเร็จลุล่วง”

และแม้ตลอดการนำเสนอนโยบายและผลงานครั้งนี้ ผู้นำสหรัฐฯ พูดถึง “การร่วมมือกัน” เป็นระยะ ๆ ปธน.ไบเดน ก็อดเหน็บพรรครีพับลิกันบ้างไม่ได้ เช่น เมื่อตอนที่พูดถึงกรณีที่บางคนออกโรงต่อต้านกฎหมายส่งเสริมปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานเศรษฐกิจ หรือ Infrastructure and Investment Act แต่กลับมาแสดงความยินดีเมื่อมีการจัดสรรงบเข้าพื้นที่ของตน ด้วยการกล่าวว่า “ไม่ต้องห่วง ... ผมขอสัญญาว่า จะเป็นประธานาธิบดีของชาวอเมริกันทุกคน เราจะให้งบกับโครงการเหล่านี้ แล้วพบกันที่พิธีเปิดหน้าดิน (groundbreaking) นะ”

และมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ไบเดนกล่าวหาฝั่งรีพับลิกันว่า พยายามตัดสวัสดิการประกันสังคม (Social Security) และโครงการประกันสุขภาพของผู้สูงอายุ (Medicare) ซึ่งทำให้มีเสียงตะโกนขึ้นมาจากสมาชิกพรรครีพับลิกันที่วิจารณ์ผู้นำสหรัฐฯ มาตลอดว่า “คนโกหก”

U.S. President Joe Biden delivers State of the Union address at the U.S. Capitol in Washington
U.S. President Joe Biden delivers State of the Union address at the U.S. Capitol in Washington

ในเรื่องนี้ ไบเดน พูดนอกสคริปต์และตอบโต้พร้อมรอยยิ้มมุมปากว่า “ใครก็ตามที่สงสัย เชิญติดต่อมาทำสำนักงานของผมได้ ผมจะให้ดูสำเนาข้อเสนอ(ที่ว่านี้)” ซึ่งการโต้กลับนี้ทำให้หลายคนคิดว่า กำลังชมการโต้วาที ไม่ใช่การนำเสนอนโยบายและผลงานอยู่

และเมื่อกำหนดการ State of the Union เสร็จสิ้นลง คำถามที่หลายคนรอฟังว่า ไบเดนจะลงสมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีสมัยที่ 2 หรือไม่ ก็ยังไม่มีความชัดเจนออกมา แม้ว่า ผู้นำสหรัฐฯ จะสัญญาไว้ตั้งแต่เมื่อต้นปีว่า จะประกาศการตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่ช้าก็เร็วก็ตาม

แพทริก กาสปาร์ด อดีตผู้อำนวยการฝ่ายการเมืองของทำเนียบขาวและเจ้าหน้าที่ระดับสูงของคณะกรรมการแห่งชาติพรรคเดโมแครต (Democratic National Committee - DNC) ให้ความเห็นว่า “จนกว่าจะถึงเวลาที่เขา (ไบเดน) ประกาศออกมา นั่นจะยังคงเป็นคำถามที่รอความกระจ่างทุกครั้งที่เขาเอ่ยปาก”

กาสปาร์ด กล่าวด้วยว่า งานแถลงนโยบายและผลงานประจำปีนั้น “มักถูกใช้เป็นโอกาสในการเปิดฉากเสนอตัวลงสมัครรับเลือกตั้งอีกครั้ง” และครั้งนี้ ก็ไม่แตกต่างจากที่เคยเป็นมา

ตั้งแต่อดีต ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เกือบทุกคนเดินหน้าลองลงสมัครรับเลือกตั้งอีกสมัยเสมอ และมีเพียงไม่กี่คนที่ไม่ทำเช่นนั้น โดยคนสุดท้ายที่ตัดสินใจไม่ลงสมัครก็คือ อดีตประธานาธิบดีลินดอน จอห์นสัน ในปี ค.ศ. 1968

ถึงกระนั้น สหรัฐฯ ไม่เคยมีประธานาธิบดีที่สูงวัยเท่ากับผู้นำคนปัจจุบันมาก่อน และถ้าหากไบเดนเป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 2 เขาก็จะมีอายุถึง 86 ปีเมื่อหมดวาระลง

ไบเดนเองยอมรับในประเด็นนี้ โดยระบุในการกล่าวสุนทรพจน์เมื่อคืนวันอังคารว่า “ผมไม่ได้เป็นหน้าใหม่เลย... ผมมายืนอยู่ในคืนนี้ หลังรับใช้(ประชาชน)มานานพอ ๆ กับหลาย ๆ คนในที่นี้”

ลินซีย์ เชอร์วินสกี นักประวัติศาสตร์ด้านประธานาธิบดี กล่าวว่า อายุของไบเดน เป็น “ปัจจัยที่ไม่สามารถคาดหมายได้” (X Factor) ที่ทำให้ผู้นำคนปัจจุบันแตกต่างจากประธานาธิบดีคนก่อน ๆ เพราะในอดีตนั้น แม้ประธานาธิบดีที่ประสบภาวะความนิยมตกต่ำในสมัยแรก ก็ยังไม่เคยมีคนบอกว่า ไม่ควรลงสมัครในสมัยที่ 2 เลย พร้อมระบุว่า “ถ้าเขา(ไบเดน) อายุน้อยกว่านี้สัก 10 ปี จะไม่มีใครพูดเรื่องนี้(อายุ)เลย”

U.S. President Joe Biden delivers State of the Union address at the U.S. Capitol in Washington
U.S. President Joe Biden delivers State of the Union address at the U.S. Capitol in Washington

เมื่อย้อนกลับไปดูสิ่งที่ไบเดนนำเสนอในการแถลงเมื่อคืนที่ผ่านมา คำใบ้เกี่ยวกับความตั้งใจว่า จะลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมัยที่ 2 หรือไม่ น่าจะอยู่ที่ประโยคที่สื่อความต้องการที่จะ “ทำงานให้เสร็จสิ้น” (finish the job) ซึ่งปธน.สหรัฐฯ กล่าวย้ำหลายสิบครั้ง เพื่อยืนยันความตั้งใจที่จะดำเนินแผนงานต่าง ๆ เช่น การปรับขึ้นภาษีสำหรับอภิมหาเศรษฐี การป้องกันการใช้ความรุนแรงของเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือการลดราคาอินซูลิน โดยทั้งหมดนี้เป็นเหมือนการร้องขอแบบเป็นนัย ๆ ให้กับผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งเลือกตนต่อไป

และแม้ว่า ในความเป็นจริง ปธน.ไบเดน จะผลักดันแผนงานและนโยบายต่าง ๆ ที่ถือว่าทำสำเร็จได้หลายอย่าง เช่น โครงการปรับปรุงพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทั่วประเทศ การสนับสนุนอุตสาหกรรมผลิตชิปคอมพิวเตอร์ และการออกมาตรการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีสะอาดเพื่อต่อสู้กับปัญหาสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง ความจริงก็คือ ผู้นำสหรัฐฯ คนปัจจุบันยังเผชิญกับความกังขาไม่น้อยจากประชาชนจำนวนมากของประเทศ

ผลสำรวจโดย AP-NORC Center for Public Affairs Research ที่ออกมาเมื่อเร็ว ๆ นี้ ชี้ว่า สมาชิกพรรคเดโมแครตเพียง 37% เท่านั้นที่ต้องการเห็นไบเดนลงสมัครอีกครั้ง เทียบกับตัวเลข 52% ในการสำรวจก่อนการเลือกตั้งกลางเทอมเมื่อเดือนพฤศจิกายนของปีที่แล้ว

นอกจากนั้น ชัยชนะของพรรคเดโมแครตในการเลือกตั้งครั้งนั้นกลับไม่ได้สะท้อนออกมาเป็นภาพความสำเร็จในสายตาชาวอเมริกันหลายคน

การสำรวจความคิดเห็นประชาชนครั้งใหม่โดย Washington Post-ABC News ระบุว่า ชาวอเมริกัน 36% เชื่อว่า ไบเดนประสบความสำเร็จ “อย่างมาก” นับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง ขณะที่ 62% บอกว่า ผู้นำสหรัฐฯ “ยังทำงานไม่มากพอ” หรือ “แทบจะหรือไม่ได้ทำอะไรเลย

อย่างไรก็ตาม เซดริก ริชมอนด์ อดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงของทำเนียบขาวและปัจจุบันเป็นที่ปรึกษาอาวุโสของ DNC บอกว่า ตนไม่ได้กังวลเกี่ยวกับตัวเลขผลสำรวจที่ว่านี้เลย และระบุว่า “เมื่อคุณเริ่มออกหาเสียง และคุรจะต้องใช้เงินมากมายเหมือนกับที่แผนหาเสียงสมัยนี้ใช้ ผู้คนก็จะรู้สึกท่วมท้น” ไปกับข้อมูลเตือนใจมากมายเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงที่ไบเดนได้ทำมาตลอดการทำหน้าที่ผู้นำรัฐบาลเอง

ริชมอนด์ กล่าวเสริมว่า ในเวลานี้ “ผู้คนมัวแต่ยุ่งเรื่องชีวิตของตนเองมากกว่าความเห็นทางการเมืองและผลสำรวจและเรื่องพวกนั้น”

แต่ท้ายสุด เอพีตั้งคำถามว่า สุนทรพจน์ล่าสุดของไบเดนจะช่วยจูงใจผู้มีสิทธิ์ใช้เสียงให้มาสนใจตนได้หรือไม่ และทำให้คนเหล่านั้นมองประเทศของตนแบบเดียวกับตนได้หรือไม่

  • ที่มา: เอพี
XS
SM
MD
LG