การสำรวจความเห็นคนอเมริกันที่มีต่อประธานาธิบดีสหรัฐฯ ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันว่าใครดีที่สุด และใครแย่ที่สุด แสดงให้เห็นผลลัพธ์ที่น่าสนใจ และสร้างความแปลกใจได้ไม่น้อย
ผลสำรวจที่จัดทำโดยเครือข่ายเคเบิลทีวี ซี-สแปน (C-SPAN) แสดงให้เห็นว่า ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในยุคหลัง ๆ บางคน เช่น โรนัลด์ เรแกน และบารัค โอบามา ได้รับความนิยมในระดับสูงเมื่อเทียบกับประธานาธิบดีหลายคนในอดีต ขณะที่โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นหนึ่งในประธานาธิบดีที่คนอเมริกันชื่นชมน้อยที่สุด
ผลสำรวจของ C-SPAN แสดงให้เห็นว่า ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ดีที่สุด 5 อันดับแรกจากทั้งหมด 46 คน ได้แก่ อับราฮัม ลินคอล์น, จอร์จ วอชิงตัน, แฟรงคลิน ดี รูสเวลท์, ธีโอดอร์ รูสเวลท์ และ ดไวท์ ดี ไอเซนฮาวร์ ตามลำดับ
ส่วนประธานาธิบดีที่แย่ที่สุดในสายตาคนอเมริกันจากการสำรวจนี้ คือ วิลเลียม เฮนรี แฮร์ริสัน, โดนัลด์ ทรัมป์, แฟรงคลิน เพียร์ซ, แอนดรูว์ จอห์นสัน และเจมส์ บุคาแนน อยู่ในอันดับสุดท้าย
แคสซานดรา นิวบี-อเล็กแซนเดอร์ ศาสตราจารย์ด้านประวัติศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัย Norfolk State ผู้มีส่วนร่วมในการสำรวจครั้งนี้ ชี้ว่า ประธานาธิบดีที่ได้รับการยกย่องสูงสุดในอันดับต้น ๆ ต่างมีบางอย่างคล้ายกัน คือ ล้วนเผชิญกับความท้าทายครั้งสำคัญในยุคสมัยของตน ตัวอย่างเช่น ปธน.ลินคอล์นต้องเผชิญกับความแบ่งแยกในยุคสงครามกลางเมือง ปธน.วอชิงตัน ต้องช่วยนำพาประเทศที่เพิ่งเป็นอิสระจากจักรวรรดิอังกฤษผ่านมรสุมต่าง ๆ และ แฟรงคลิน รูสเวลท์ คือผู้นำของอเมริกาในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เป็นต้น
ศาสตราจารย์นิวบี-อเล็กแซนเดอร์ กล่าวว่า ประธานาธิบดีที่ได้รับการยกย่องมากที่สุด 8 อันดับแรก ต่างสร้าง "วิสัยทัศน์แห่งอุดมการณ์ของอเมริกา" ขึ้นมาในสมัยของตนเอง
สำหรับ ปธน.เจมส์ บุคาแนน ซึ่งอยู่ในอันดับสุดท้ายนั้น มักถูกจัดว่าเป็นหนึ่งในประธานาธิบดีที่แย่ที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกาในการสำรวจหลายครั้งที่ผ่านมา โดยเฉพาะการที่เขาเลือกยืนข้างเจ้าของทาสต่าง ๆ ในสมัยนั้น ซึ่งเชื่อว่าเป็นเหตุผลสำคัญที่นำไปสู่ความแตกแยกครั้งใหญ่ในประเทศก่อนเกิดสงครามกลางเมือง
ทั้งนี้ การสำรวจของ C-SPAN ใช้เกณฑ์หลายอย่าง ตั้งแต่ วิสัยทัศน์ของผู้นำ, การโน้มน้าวประชาชน, บทบาทผู้นำในยามวิกฤติ, สถานะทางเศรษฐกิจของประเทศ, อำนาจและคุณธรรม, นโยบายระหว่างประเทศ, ทักษะในการบริหาร, ความสัมพันธ์กับรัฐสภา, การสร้างความยุติธรรมอย่างเท่าเทียม และผลงานระหว่างการดำรงตำแหน่ง
โรเบิร์ต คอฟแมน ศาสตราจารย์ด้านรัฐศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัย Pepperdine หนึ่งในผู้มีส่วนในการสำรวจครั้งนี้ กล่าวว่า เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องแยกแยะระหว่าง "ประธานาธิบดีที่ยิ่งใหญ่" กับ "ประธานาธิบดีที่เก่งหรือมีประสิทธิภาพ" เพราะไม่ใช่ว่าประธานาธิบดีที่เก่งทุกคนจะสามารถยิ่งใหญ่ได้ เพราะความยิ่งใหญ่ต้องอาศัยปัจจัยและความท้าทายสำคัญตามไปด้วย
นักวิชาการผู้นี้ยกตัวอย่าง ปธน.ธีโอดอร์ รูสเวลท์ และ ปธน.บิล คลินตัน ซึ่งเขาบอกว่าล้วนเป็นผู้นำที่เก่งและมีประสิทธิภาพ และทั้งสองคนไม่เคยเผชิญความท้าทายหนัก ๆ ที่จะผลักดันให้พวกเขาเข้าสู่ทำเนียบ "ประธานาธิบดีที่ยิ่งใหญ่" ได้
อย่างไรก็ตาม ทั้งนิวบี-อเล็กแซนเดอร์ และคอฟแมน ต่างเห็นตรงกันว่า ปธน.เฮนรี ทรูแมน ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 6 ของการจัดอันดับ คือผู้นำที่ถูกประเมินค่าต่ำเกินไปมากที่สุด เพราะทรูแมนคือนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน และยังเป็นผู้วางรากฐานสำคัญที่นำไปสู่ชัยชนะของสหรัฐฯ ในสงครามเย็น
สำหรับประธานาธิบดีเรแกน ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 9 นั้น นิวบี-อเล็กแซนเดอร์มองว่าเป็นผู้นำที่ถูกประเมินค่าสูงเกินไป ในขณะที่คอฟแมนมองว่า เรแกนควรถูกจัดอยู่ในอันดับที่สูงกว่านี้เสียด้วยซ้ำไป เนื่องจากผลงานในการยุติสงครามเย็น การฟื้นฟูเศรษฐกิจอเมริกัน การมองอเมริกาว่าเป็นเลิศในด้านต่าง ๆ รวมทั้งการสร้างกองทัพที่แข็งแกร่งในยุคที่แข่งขันกับสหภาพโซเวียต
ศาสตราจารย์คอฟแมนยังเชื่อด้วยว่า อันดับของประธานาธิบดีทรัมป์ น่าจะสูงขึ้นในการสำรวจครั้งต่อ ๆ ไป เมื่อผู้คนเข้าใจในนโยบายที่ทรัมป์นำมาใช้ในช่วงที่ดำรงตำแหน่งมากขึ้น โดยเฉพาะนโยบายที่มีต่อจีน
ส่วนศาสตราจารย์นิวบี-อเล็กแซนเดอร์ เชื่อว่า ปธน.โอบามา จะได้รับการยกย่องมากขึ้นในอนาคตเช่นกัน เพราะเป็นผู้จัดหาประกันสุขภาพให้กับคนอเมริกันทุกคนซึ่งไม่มีผู้นำสหรัฐฯ คนไหนทำได้มาก่อน และยังเป็นผู้นำพาอเมริกาออกจากวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่เมื่อปี 2008 ซึ่งรุนแรงกว่ายุคเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ หรือ the Great Depression ในสมัยของปธน.รูสเวลท์เสียอีก
สำหรับ ปธน.สหรัฐฯ คนปัจจุบัน โจ ไบเดน ยังไม่อยู่ในการจัดอันดับครั้งนี้ โดยนักประวัติศาสตร์ชี้ว่า ยังเร็วเกินไปที่จะตัดสินผลงานและความสำเร็จของประธานาธิบดีคนที่ 46 ของอเมริกา
- ที่มา: C-Span, VOA