ระบบธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด เผยสุขภาพทางการเงินของคนอเมริกันแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบทศวรรษ โดยเชื่อว่า มาจากตลาดแรงงานที่แข็งแกร่งและเงินช่วยเหลือจากภาครัฐ
การสำรวจประจำปีของระบบธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด ในช่วงเดือนตุลาคมและเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ต่อคำถามที่ว่า สถานะทางการเงินของปี 2021 เป็นเช่นไร พบว่า 8 ใน 10 ของผู้ทำการสำรวจให้คำตอบว่า “มีชีวิตที่ใช้ได้ หรืออยู่อย่างสบาย” ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงที่สุด นับตั้งแต่เริ่มทำการสำรวจในปี 2013
ในการสำรวจดังกล่าว เก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง 11,000 ราย ในขณะนั้นอัตราเงินเฟ้อสูงสุดอยู่ที่ 6% สงครามรัสเซียบุกยูเครนยังไม่ได้เริ่มขึ้น ค่าเชื้อเพลิงและราคาอาหารยังไม่ได้ถูกแรงกดดันราคาจนพุ่งสูง อย่างไรก็ตาม ในการสำรวจครั้งนี้ ระบบธนาคารกลางสหรัฐฯ ไม่ได้ถามในเรื่องที่ว่า อัตราเงินเฟ้อมีผลกระทบเช่นไรต่อสถานะทางการเงินของคนอเมริกัน
อีกปัจจัยก็คือการสำรวจครั้งนี้ ถูกจัดทำขึ้นก่อนหน้าที่จะเกิดการแพร่ระบาดครั้งใหญ่ของเชื้อไวรัสโควิด สายพันธุ์โอมิครอน ปลายปี 2021 ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนที่คนอเมริกันจะระงับการเดินทางและลดค่าใช้จ่ายต่างๆ
รายงานสุขภาพทางการเงินช่วยอธิบายการปรับตัวของผู้บริโภคเมื่อต้องเผชิญกับค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น ค่าใช้จ่ายต่างๆ ปรับตามอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบ 40 ปี ในรายงานยังชี้ว่า ผู้คนในทุกเชื้อชาติมีสุขภาพการเงินที่ดี โดยกลุ่มคนเชื้อสายฮิสแปนิกมีสัดส่วนของผู้คนที่มีสุขภาพการเงินดี เพิ่มขึ้นมากที่สุด ในขณะที่กลุ่มคนผิวขาว ผู้คนที่มีสุขภาพการเงินดี เพิ่มขึ้นในสัดส่วนน้อยที่สุด
ราว 7 ใน 10 ของผู้ทำการสำรวจ บอกว่า มีเงินสำรองอย่างน้อย 400 ดอลลาร์สำหรับค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิด ซึ่งถือว่าเป็นสัดส่วนที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2013 แต่ 11% ในการสำรวจนี้ เปิดเผยว่า พวกเขายังไม่มีเงินสำรองในจำนวนดังกล่าว
ในกลุ่มของผู้ปกครองที่มีบุตรหลาน พบว่า เป็นกลุ่มที่มีจำนวนผู้คนที่มีสุขภาพด้านการเงินดี เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดย 3 ใน 4 ในการสำรวจ บอกว่า มีการเงินอยู่ในระดับอย่างน้อยที่ใช้ได้ ถือว่าปรับเพิ่มขึ้น 8% เมื่อเทียบกับปี 2020 และเพิ่มขึ้น 4% เมื่อเทียบกับปี 2019 ก่อนที่จะเกิดการระบาดใหญ่
เจ้าหน้าที่ของระบบธนาคารกลางสหรัฐฯ ให้ความเห็นว่า การที่ผู้ปกครองมีสุขภาพการเงินที่เพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากโรงเรียนเปิดทำการอีกครั้ง ทำให้ผู้ปกครองมีเวลาทำงาน รวมถึงไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายด้านการดูแลเด็กอย่างที่ผ่านมา นอกจากนี้ การขยายเครดิตภาษีเพื่อช่วยเหลือผู้มีบุตร ที่อยู่ในแผนเยียวยาด้านการเงินมูลค่า 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ของประธานาธิบดีโจ ไบเดน น่าที่จะเป็นอีกปัจจัยสำคัญ
ส่วนกลุ่มผู้ปกครองที่มีรายได้ต่ำ หรือมีรายรับต่ำกว่า 25,000 ดอลลาร์ รายงานว่า มีสุขภาพการเงินที่ดี เพิ่มขึ้นมากที่สุด โดย 53% บอกว่า อย่างน้อยมีความเป็นอยู่ที่ใช้ได้ ซึ่งเป็นตัวเลขที่ปรับขึ้นจากก่อนหน้านี้ที่ 40%
สำหรับเครดิตภาษีช่วยเหลือผู้มีบุตร ที่รวมถึงการให้เงินช่วยเหลือต่อเดือนจำนวน 300 ดอลลาร์ต่อบุตรหนึ่งคน ในครอบครัวที่มีรายได้สูง ผู้ปกครองมักที่จะเก็บออมเงินในส่วนนี้ไว้ ขณะที่ 3 ใน 10 ของผู้ปกครองที่มีรายได้น้อยกว่า 50,000 ดอลลาร์ บอกว่า ใช้เงินส่วนใหญ่เพื่อจ่ายค่าที่พักอาศัย และ 15% นำเงินที่ได้ส่วนใหญ่ไปใช้กับค่าอาหารการกิน
ที่น่าสนใจ คือ การสำรวจนี้ยังเป็นครั้งแรกที่ ระบบธนาคารกลางสหรัฐฯ สอบถามชาวอเมริกันเกี่ยวกับเรื่องสกุลเงินดิจิทัล หรือ Cryptocurrency ผลปรากฏว่า คนอเมริกัน 12% ครอบครองสกุลเงินดิจิทัลในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา แต่มีเพียง 3% เท่านั้น ที่ใช้สกุลเงินรูปแบบดังกล่าวในการทำธุรกรรมด้านการเงิน โดย 2% ในการสำรวจ บอกว่า ใช้สกุลเงินดิจิทัลในการชำระเงินต่าง ๆ และ 1% ใช้เพื่อส่งเงินให้แก่ผู้อื่น
- ที่มา: เอพี