มกุฏราชกุมารซาอุฯ โมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน กล่าวในวันพุธว่า เหตุการณ์สังหารนายจามาล คาชอกกี (Jamal Kashoggi) นักข่าวของหนังสือพิมพ์ วอชิงตัน โพสต์ ถือเป็นอาชญากรรมที่ชั่วร้ายที่ไม่สามารถอธิบายได้
เจ้าชาย บิน ซัลมาน ปรากฎตัวครั้งแรกต่อสาธารณชน หลังการเสียชีวิตของนายคาชอกกี เมื่อสามสัปดาห์ที่แล้ว ที่สถานกงสุลซาอุฯ ในนครอิสตันบุล ตุรกี โดยทรงกล่าวต่อผู้ร่วมประชุมการลงทุนที่กรุงริยาดห์ว่า "อาชญากรรมที่เิกดขึ้นสร้างความเจ็บปวดให้กับชาวซาอุฯ ทุกคน และถือเป็นสิ่งชั่วร้ายต่อมวลมนุษยชาติ" และว่า "ผู้กระทำผิดจะต้องถูกนำตัวมาลงโทษ"
ก่อนหน้านี้ ทางการซาอุฯ ได้ไล่เจ้าหน้าที่ 5 คนที่เชื่อว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของนายคาชอกกี ออกจากตำแหน่ง รวมทั้งจับกุมผู้ต้องสงสัยอีก 18 ราย ระหว่างการสืบสวนเหตุการณ์ที่ถูกจับตามองไปทั่วโลกครั้งนี้
คำกล่าวของเจ้าชาย บิน ซัลมาน มีขึ้นหลังจากที่ ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวกับหนังสือพิมพ์ Wall Streets Journal ว่า มกุฏราชกุมารของซาอุฯ คือผู้ที่่ต้องรับผิดชอบต่อการเสียชีวิตของนักข่าวผู้นี้
เมื่อวานนี้ ผู้นำสหรัฐฯ กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า ซาอุฯ กำลังทำการปกปิดความผิดครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้น
และในวันพุธ อังกฤษเป็นประเทศที่สองที่ร่วมถอนวีซ่าผู้ต้องหาคดีสังหารนายคาชอกกี
โดยก่อนหน้านี้ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ไมค์ พอมเพโอ กล่าวว่า สหรัฐฯ กำลังยกเลิกวีซ่าชาวซาอุดิอาระเบียที่ต้องสงสัยว่าเกี่ยวพันกับการสังหารนายคาชอกกีเช่นกัน
รัฐมนตรีพอมเพโอ กล่าวด้วยว่า สหรัฐฯ กำลังดูช่องทางการใช้อำนาจตามกฎหมายอเมริกัน ภายใต้พระราชบัญญัติ Global Magnitsky Act ในการลงโทษคนเหล่านี้
ข่าวการยกเลิกวีซ่าครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจาก สหรัฐฯร่วมประณาม "อย่างรุนแรงที่สุด" ต่อการสังหารนายคาชอกกี ในแถลงการณ์ของประเทศกลุ่มจี 7
รัฐมนตรีที่เข้าร่วมการประชุมจี 7 ซึ่งมีสมาชิกเป็นประเทศเศรษฐกิจชั้นนำของโลก กล่าวว่าต้องมีการนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ