รัฐบาลสหรัฐฯ และพันธมิตรชาติตะวันตกอีก 4 ประเทศ แสดง “ความกังวลอย่างหนัก” เกี่ยวกับผลการเลือกตั้งล่าสุดในฮ่องกง ที่แสดงให้เห็นถึง “การกัดกร่อนขององค์ประกอบทางประชาธิปไตย” หลังผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งที่มีจุดยืนสนับสนุนรัฐบาลกรุงปักกิ่งกวาดชัยชนะที่นั่งในสภานิติบัญญัติของเขตปกครองตนเองนี้ไปได้
แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ พร้อมรัฐมนตรีต่างประเทศจาก ออสเตรเลีย แคนาดา นิวซีแลนด์ และอังกฤษ ร่วมลงนามในแถลงการณ์ที่ออกมาในวันจันทร์ ซึ่งระบุว่า “การทำการต่างๆ เพื่อบ่อนทำลายสิทธิ์ เสรีภาพ และความเป็นเอกราชที่จะปกครองตนเองในระดับที่สูง กำลังเป็นภัยคุกคามต่อความปรารถนาที่ทุกฝ่ายมีร่วมกัน ที่จะเห็นฮ่องกงประสบความสำเร็จในการได้มาซึ่งทุกอย่างที่ว่านี้แล้ว”
แหล่งข่าวระบุว่า นักการทูตต่างๆ ให้ความเห็นว่า นับตั้งแต่อังกฤษส่งมอบฮ่องกงคืนให้กับจีนเมื่อปี ค.ศ. 1997 “มีผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งที่มีมุมมองทางการเมืองอันหลากลายเข้ามาร่วมชิงชัยในฮ่องกงกันอย่างต่อเนื่อง” แต่ ผลการเลือกตั้งเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมากลับ “พลิกสวนกระแสดังกล่าวไปแล้ว”
ทั้งนี้ ผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งที่สนับสนุนจีนกุมชัยชนะอย่างถล่มทลาย โดยผู้เข้าชิงชัยที่เป็นกลุ่มสายกลางและกลุ่มอิสระปราชัยไปหมด ในการเลือกตั้งครั้งแรกนับตั้งแต่รัฐบาลกรุงปักกิ่งประกาศว่า เฉพาะ “ผู้รักชาติ” ที่ภักดีต่อพรรคคอมมิวนิสต์จีนเท่านั้นที่จะสามารถทำหน้าที่บริหารฮ่องกงได้
ขณะเดียวกัน แคร์รี แลม ผู้บริหารเกาะฮ่องกง แถลงในวันจันทร์ว่า ตนรู้สึก “พอใจ” ต่อผลการเลือกตั้ง แม้ว่า จะมีสัดส่วนผู้ออกมาใช้สิทธิ์เพียง 30.2% เท่านั้น ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดของฮ่องกงนับตั้งแต่จีนกลับมาปกครองเกาะแห่งนี้อีกครั้งเมื่อ 24 ปีก่อน
ส่วน จ้าว ลี่เจียน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน ให้ความเห็นว่า มี “เหตุผลหลายข้อ” ที่สามารถอธิบายได้ว่า ทำไมจำนวนผู้มีสิทธิ์ออกเสียงถึงไม่ออกมาลงคะแนนกันมากขนาดนั้น โดยระบุว่า ไม่ใช่เป็นเพียงเพราะผลกระทบจากการระบาดใหญ่ของโควิด-19 แต่ยังเป็นเรื่องของความพยายามก่อกวนโดยกลุ่มต่อต้านจีนในฮ่องกงและจากภายนอกด้วย
(ข้อมูลบางส่วนมาจากสำนักข่าว เอพี)